ภูมิคุ้มกันคุณเฟิรม พร้อมบวก 'เซลล์มะเร็ง' แล้วหรือยัง?
"ภูมิคุ้มกันบำบัด หรือ immunotherapy" เป็นหนึ่งในวิธีการรักษามะเร็ง โดยใช้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายในการต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง
โดยปกติเซลล์มะเร็งจะมีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถขัดขวางการทำงานปกติของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ทำให้เซลล์มะเร็งไม่ถูกทำลาย สามารถเติบโต และแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว
ยากระตุ้นภูมิคุ้มกันบำบัดจะออกฤทธิ์กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้สามารถตรวจจับ และทำลายเซลล์มะเร็งที่เป็นสิ่งแปลกปลอมได้โดยตรง ทำให้สามารถควบคุมเซลล์มะเร็งในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ก้อนมะเร็งยุบลง คนไข้มีระยะเวลาปลอดโรคที่ยาวนานมากขึ้นรวมถึงมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
แห่งแรกของโลก!! ใช้ 'ภูมิคุ้มกันบำบัด' รักษา 'มะเร็งเต้านม'สำเร็จ
ผู้ป่วยมะเร็งเฮ! เข้าถึง"ยาแอนติบอดีภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง" หลักหมื่นบาท
เซลล์มะเร็งหลบซ่อนการตรวจพบของระบบภูมิคุ้มกัน
ผศ.พญ. เอื้อมแข สุขประเสริฐ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น อธิบายว่า ในภาวะปกติระบบภูมิคุ้มกันมีความสามารถในแยกแยะและจดจำว่าเซลล์ใด ซึ่งหากเป็นเซลล์ปกติเมื่อพบเซลล์แปลกปลอมที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ เช่น ไวรัส, แบคทีเรียภูมิคุ้มกันที่อยู่ใกล้เคียงสิ่งแปลกปลอมนั้นจะถูกกระตุ้นให้แจ้งระบบภูมิคุ้มกันด่านแรกให้มาช่วยกันกำจัดสิ่งแปลกปลอมนั้นหลังจากนั้นระบบภูมิคุ้มจะสามารถจดจำสิ่งแปลกปลอมได้อย่างจำเพาะเจาะจงเพื่อให้ร่างกายสามารถกำจัดในครั้งหน้าได้ดียิ่งขึ้น
เซลล์มะเร็งมีคุณสมบัติพิเศษสามารถหลบซ่อนจากการตรวจพบของระบบภูมิคุ้มกัน ของร่างกายได้หรือบางครั้งที่ระบบภูมิคุ้มกันตรวจพบเซลล์มะเร็งระบบภูมิคุ้มกันก็แข็งแกร่งไม่พอที่จะกำจัดเซลล์มะเร็งนั้นๆ
ยาภูมิคุ้มกันบำบัดที่ปัจจุบันนิยมนำมาใช้ในการรักษามะเร็ง คือ ยากลุ่มยับยั้งการทำงานที่อิมมูนเช็คพอยต์ (Immune checkpoint inhibitors) มีคุณสมบัติเป็นโมโนโคลนอลแอนติบอดี (monoclonal antibodies)
โดยปกติระบบภูมิคุ้มกันจะมีเช็คพอยต์เป็นกลไกการควบคุมให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายหยุดทำลายสิ่งแปลกปลอมหรือหยุดการทำลายเซลล์ของร่างกายเพื่อให้มีความสมดุลระหว่างความสามารถในการทำลายเซลล์แปลกปลอมและไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงทำลายเซลล์ปกติของร่างกาย
ยาภูมิคุ้มกันบำบัดใช้ในการรักษามะเร็ง
แม้ผลข้างเคียงต่อร่างกายของยากระตุ้นภูมิคุ้มกันจะค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับการรักษาแบบดั้งเดิม หรือการรักษาด้วยยาเคมี บำบัดเนื่องจากอาศัยการทำงานของภูมิคุ้มกันของร่างกายใน การทำลายมะเร็งได้เจาะจง อย่างไรก็ตาม ยังสามารถเกิด อาการข้างเคียงขึ้นได้ เช่น ผื่นผิวหนัง อ่อนเพลีย ภาวะไทรอยด์ ฮอร์โมนต่ำ หรือภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน คลื่นไส้ อาเจียน ปอดอักเสบ ไอ หายใจลำบาก ปวดหัว ปวดข้อ เป็นต้น
ปัจจุบันมีการนำยาภูมิคุ้มกันบำบัด (Immune checkpoint inhibitors) มารักษาโรคมะเร็ง เช่น
• มะเร็งผิวหนังเมลาโนมา
• มะเร็งปอดชนิดไม่ใช่เซลล์เล็ก
• มะเร็งศีรษะและคอ
• มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
• มะเร็งเยื่อบุทางเดินปัสสาวะ
• มะเร็งตับ
• มะเร็งไต
• มะเร็งที่มี Microsatellite instability สูง (MSI-H cancer)
• มะเร็งหลอดอาหาร
• มะเร็งปากมดลูก
• มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
• มะเร็งกระเพาะอาหาร
• มะเร็งลำไส้
• มะเร็งที่มีการกลายพันธุ์ของยีนพันธุกรรมสูง Tumor Mutational Burden-High Cancer (TMB-H)
• มะเร็งเต้านมชนิด Triple-negative (TNBC)
ยาในกลุ่มนี้ปัจจุบันถือเป็นความหวัง และทางเลือกใหม่ในการรักษามะเร็ง โดยมีจุดเริ่มต้นจากการศึกษาถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการรักษามะเร็งระยะแพร่กระจาย (มะเร็งระยะที่ 4) เทียบกับการรักษาแบบดั้งเดิมซึ่งโดยส่วนใหญ่ คือ เคมีบำบัด พบว่าการรักษาด้วยยาภูมิคุ้มกันบำบัด ไม่ว่าจะใช้เป็นตัวเดี่ยวในผู้ป่วยที่มีการแสดงออกของ PD-L1 สูง หรือร่วมกับเคมีบำบัดหรือการรักษามุ่งเป้าตัวอื่นในผู้ป่วยอื่นที่ไม่มีการแสดงออกของตัวทำลายประสิทธิภาพของยาภูมิคุ้มกันบำบัดที่สูง
ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าการรักษาเพิ่มด้วยยาภูมิคุ้มกันบำบัดทำให้ผู้ป่วยมีการตอบสนองที่ดีขึ้น ก้อนเนื้องอกยุบลงได้มากและนานขึ้นส่งผลให้ผู้ป่วยมีอายุที่ยาวนานมากขึ้นจนมาถึงยุคปัจจุบันมีการศึกษาในการนำยาภูมิคุ้มกันบำบัดมาใช้ในระยะมะเร็งก่อนลุกลาม เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำภายหลังการผ่าตัดหรือให้ยา รวมถึงการใช้ในการลดขนาดก้อนมะเร็งก่อนการผ่าตัดในมะเร็งบางชนิดเช่น มะเร็งเต้านม เป็นต้น
เพราะภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง คือ กุญแจสำคัญในการเสริมสร้างสุขภาพที่ดี และป้องกันโรคร้าย
ระบบภูมิคุ้มกันมีบทบาทต่อสุขภาพ
ทนพ. ชาญเวช ตันติกัลยาภรณ์ นักเทคนิคการแพทย์ พาธแล็บ ศูนย์ตรวจสุขภาพ สาขาแจ้งวัฒนะ อธิบายว่า ระบบภูมิคุ้มกันทำหน้าที่ตรวจจับและทำลายสิ่งแปลกปลอม เช่น เชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และเซลล์ที่มีความผิดปกติในร่างกาย ซึ่งรวมถึงเซลล์มะเร็งระยะเริ่มต้น บางประเภทที่อาจเกิดขึ้นแบบไม่แสดงอาการ การทำงานที่สมดุลของระบบภูมิคุ้มกันไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันโรค มีโอกาสควบคุมความผิดปกติได้ตั้งแต่เริ่มต้น แต่ยังมีส่วนช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูและซ่อมแซมเซลล์ที่เสียหายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รู้ได้อย่างไรว่าระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง
หนึ่งในวิธีเบื้องต้น คือ การตรวจเม็ดเลือดขาวในเลือด โดยเฉพาะกลุ่มเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ (Lymphocyte) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการทำงานของภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะซึ่งเกี่ยวข้องกับการตอบสนองต่อเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมซับซ้อนยิ่งขึ้น
ขั้นตอนการตรวจลิมโฟไซต์
ลิมโฟไซต์ (Lymphocyte) เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง ทำหน้าที่กำจัดเชื้อไวรัส เซลล์ติดเชื้อ และเซลล์ผิดปกติบางชนิด โดยแบ่งเป็น 3 ชนิดหลัก ได้แก่:
B cells: ทำหน้าที่สร้างแอนติบอดีที่จำเพาะต่อเชื้อโรคแต่ละชนิด เมื่อพบเชื้อโรคชนิดเดิมอีกครั้ง แอนติบอดีจะจับกับเชื้อโรคและส่งสัญญาณให้เซลล์ภูมิคุ้มกันอื่น ๆ มาทำลาย
T cells: มีบทบาทสำคัญในการควบคุมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน บางชนิดทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อโดยตรง ขณะที่บางชนิดช่วยควบคุมการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันอื่น ๆ
NK cells: เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีความสำคัญ ทำหน้าที่ตรวจจับและทำลายเซลล์ที่ผิดปกติหรือติดเชื้อไวรัส รวมถึงเซลล์มะเร็งในระยะเริ่มต้น
ฉะนั้น การตรวจเม็ดเลือดลิมโฟไซต์ รวมอยู่ในการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC – Complete Blood Count)ซึ่งเป็นการตรวจเลือดพื้นฐาน ที่อยู่ในโปรแกรมตรวจสุขภาพทั่วไป
ค่าลิมโฟไซต์ที่อยู่ในช่วงปกติบ่งชี้ว่าระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีแต่หากต่ำหรือสูงกว่าปกติ อาจเกี่ยวข้องกับ:
- การติดเชื้อเฉียบพลันหรือเรื้อรัง
- ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
- โรคของระบบเลือด เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
- ผลกระทบจากยาบางชนิด เช่น ยากดภูมิ หรือเคมีบำบัด
ใครบ้างที่ควรตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด
- ผู้ที่ป่วยบ่อย หรือมีอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง
- ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว หรือผู้ที่มีประวัติมะเร็งในครอบครัว
- ผู้ที่กำลังใช้ยาเคมีบำบัด ยากดภูมิ หรือเตรียมรับการรักษาเฉพาะทาง
- ผู้ที่ต้องการตรวจสุขภาพประจำปี
ดูแลระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงได้อย่างไร?
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 6-8 ชั่วโมงต่อวัน
- รับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน C, D, สังกะสี และโปรตีน
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่นการวิ่ง เดินเร็ว หรือว่ายน้ำ 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์
- จัดการความเครียด เพื่อดูแลสุขภาพจิตให้แข็งแรง
- งดสูบบุหรี่ และลดการดื่มแอลกอฮอล์
- ตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง
ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันอาจส่งผลให้ไม่สามารถตรวจจับและกำจัดเซลล์มะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ มะเร็งต่อมน้ำเหลืองและมะเร็งเม็ดเลือดขาวเป็นตัวอย่างของโรคมะเร็งที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันโดยตรง
การเข้าใจถึงโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันจะช่วยให้สามารถสังเกตอาการผิดปกติและเข้ารับการตรวจรักษาได้ทันท่วงที การดูแลสุขภาพและตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันและควบคุมโรคเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อ้างอิง: aboutthaicancer ,Pathlab