รู้จักภาวะ Fight or Flight ภาวะระวังภัยขั้นสูงสุดตลอดเวลา ผลพวงจากภัยสงคราม
สงครามไม่ได้ทำลายเพียงชีวิตและโครงสร้างพื้นฐาน แต่ยังสร้าง “บาดแผลลึก” ที่มองไม่เห็นในจิตใจของผู้ที่ต้องอยู่ท่ามกลางความรุนแรงนั้น ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือพลเรือน หนึ่งในผลกระทบทางจิตใจที่สำคัญ คือ การที่สมองและร่างกายตกอยู่ในภาวะ “Fight or Flight” ภาวะที่ระบบประสาทอยู่ในโหมด “เตรียมสู้หรือหนี” อย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นความเครียดเรื้อรังที่กัดกินทั้งสุขภาพกายและใจ
ภาวะ Fight or Flight เป็นประโยชน์ในสถานการณ์เฉียบพลัน เช่น เมื่อต้องวิ่งหนีอันตราย หรือมีพละกำลังพิเศษเพื่อช่วยเหลือคนในเหตุฉุกเฉิน อย่างไรก็ตาม หากภาวะนี้เกิดขึ้นบ่อย ๆ หรือยืดเยื้อ เช่น ในกรณีความเครียดเรื้อรัง ความวิตกกังวล หรือการทำงานภายใต้แรงกดดันตลอดเวลา ระบบประสาทซิมพาเทติกจะทำงานมากเกินไปโดยไม่มีโอกาสได้พัก ส่งผลเสียต่อร่างกาย เช่น
- โรคหัวใจและความดันโลหิตสูง
- ภูมิคุ้มกันต่ำลง
- ปัญหาในการย่อยอาหาร
- ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวลเรื้อรัง
- การนอนหลับผิดปกติ
กลไก “Fight or Flight” เมื่อภัยคุกคามไม่มีวันสิ้นสุด
โดยปกติ ภาวะ Fight or Flight คือกลไกการเอาตัวรอดในระยะสั้น สมองจะสั่งการให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลินและคอร์ติซอลเมื่อรู้สึกถึงภัยคุกคาม เช่น เมื่อได้ยินเสียงปืนระเบิด หรือถูกซุ่มโจมตี ร่างกายจะตอบสนองทันที: หัวใจเต้นแรง หายใจเร็ว กล้ามเนื้อพร้อมใช้งาน—ทั้งหมดเพื่อเอาชีวิตรอด
แต่ในสงคราม ภัยเหล่านี้ไม่ได้เกิดแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ แต่เป็นความเสี่ยงตลอด 24 ชั่วโมง เสียงระเบิดกลางดึก การไม่รู้ว่าศัตรูอยู่ตรงไหน หรือแม้แต่การต้องนอนกลางสนามรบ ล้วนกระตุ้นระบบประสาทซิมพาเทติกอย่างต่อเนื่อง ทำให้สมองและร่างกายไม่มีโอกาส “ปิดสวิตช์” เพื่อเข้าสู่โหมดพักฟื้นอย่างที่ควรเป็น
ผลกระทบระยะยาว: จากเอาตัวรอดสู่ความทรมาน
เมื่อภาวะ Fight or Flight กลายเป็นสภาวะประจำวัน สิ่งที่เคยช่วยให้เอาตัวรอดกลับกลายเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพจิต เช่น
- ภาวะ PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder) หรือโรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ ผู้ป่วยอาจฝันร้าย มีอาการหลอน หวาดผวา หรือรู้สึกเหมือนเหตุการณ์เลวร้ายยังคงเกิดขึ้น
- ความผิดปกติของการนอน หลับยาก หลับไม่สนิท ตื่นบ่อย ซึ่งยิ่งทำให้ระบบประสาทอ่อนล้า
- อารมณ์แปรปรวน เช่น หงุดหงิดง่าย โกรธรุนแรง ซึมเศร้า หรือรู้สึกชินชากับชีวิต
- การแยกตัวจากสังคม ขาดความเชื่อใจในผู้คน รู้สึกโดดเดี่ยว และไร้ความหมายในชีวิต
- งานวิจัยจาก U.S. Department of Veterans Affairs ชี้ว่า ทหารผ่านศึกที่เคยร่วมรบมีโอกาสเป็น PTSD สูงถึง 11–20% และมักมีอาการต่อเนื่องนานหลายปีแม้จะพ้นจากสงครามแล้ว (VA, 2022)
ทางออก: ฟื้นฟูจิตใจหลังผ่านสมรภูมิ
- แม้บาดแผลทางใจจะไม่มองเห็น แต่สามารถรักษาได้หากได้รับการช่วยเหลือที่เหมาะสม เช่น
- จิตบำบัด (Trauma-focused Therapy) เพื่อประมวลความทรงจำและลดอาการหวาดกลัว
- การฝึกหายใจ และสมาธิ เพื่อกระตุ้นระบบพาราซิมพาเทติก ช่วยให้ร่างกายคลายความตึงเครียด
- การสนับสนุนจากครอบครัวและชุมชน เพื่อสร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับการเยียวยา
- การดูแลด้านสังคมและการกลับคืนสู่ชีวิตปกติ เช่น งาน การศึกษา และการฟื้นฟูสภาพจิตใจ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง