โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

สุขภาพ

ส่องโอกาส Medical Hub ภูมิภาคอาเซียน เวียดนาม อินโดฯ มาเลเซีย แรงแซงหน้าไทย

ฐานเศรษฐกิจ

อัพเดต 19 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 12 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ข้อมูลจากสำนักประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community) หรือ AEC ล่าสุดในเดือนมีนาคม 2567 ระบุว่า ภูมิภาคอาเซียน 10 ประเทศ ได้แก่ บรูไน, กัมพูชา, อินโดนีเซีย, ลาว, มาเลเซีย, เมียนมา, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, ไทย และเวียดนาม มีประชากรรวมทั้งหมดกว่า 672 ล้านคน ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มทางเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ ด้วยสัดส่วนประชากรร้อยละ 8.6 ของโลก เป็นฐานการผลิตที่สามารถดึงดูดนักลงทุนต่างชาติในหลายธุรกิจ ด้วยข้อได้เปรียบภูมิภาคอื่นๆ ทั้งด้านทรัพยากรธรรมชาติ แหล่งท่องเที่ยว แรงงาน ตลอดจนสินค้าราคาถูก เป็นต้น

การรวมตัวกันของประเทศกลุ่มอาเซียน ส่งผลให้เศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง สร้างโอกาสสำหรับการขยายการค้า การส่งออก รวมทั้งการลงทุนด้านต่างๆ โดยเฉพาะธุรกิจด้านสุขภาพที่กำลังเพิ่มขึ้น ตามสัดส่วนความต้องการทางกายภาพของประชากร

นางสาวรุ้งเพชร ชิตานุวัตร์ ผู้อำนวยการกลุ่มโครงการภูมิภาคอาเซียน อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันในประชากรภูมิภาคอาเซียนกว่า 672 ล้านคน เริ่มก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมากขึ้น ทำให้ความต้องการด้าน Healthcare System และ Healthcare Innovation เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพบว่าประชากรต้องการนวัตกรรมการดูแลสุขภาพและเข้าถึงการรักษาที่ง่ายขึ้น โดยเทรนด์สำคัญที่จะเข้ามามีบทบาทในอนาคต 3-5 ปี มากที่สุดคือ Cyber Security และ AI

โดยประเทศที่มีศักยภาพการลงทุนด้านธุรกิจเฮลท์แคร์แบบ Medical Technology ที่เห็นได้เด่นชัดในอาเซียน มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีนักลงทุนจากยุโรปมาลงทุนเป็นจำนวนมากจนเติบโตอย่างโดดเด่นมากในตอนนี้ คือ เวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย

ขณะที่ประเทศไทยส่วนใหญ่จะลงทุนเกี่ยวกับเครื่องมือแพทย์ ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น อุปกรณ์เสริม ประเภทเครื่องจักรระดับทั่วไป ถุงมือยาง น็อตทำเตียง วีลแชร์ การผลิตสินค้าเฉพาะทางมูลค่าสูงที่ต้องใช้เทคโนโลยีมีน้อยมาก ทั้งยังขาดการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) จนอาจมองไม่เห็นแรงกระเพื่อมที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจเฮลท์แคร์ของประเทศไทยได้มากนัก

“ขณะนี้นักลงทุนด้านธุรกิจเฮลท์แคร์ให้ความสนใจภูมิภาคอาเซียนอย่างมาก โดยเฉพาะประเทศที่มีจำนวนมาประชากรสูง เช่น อินโดนีเซีย ซึ่งอาจจะยากสำหรับนักลงทุนต่างชาติเพราะรัฐบาลอินโดนีเซียจะให้สิทธิกับนักลงทุนในประเทศก่อนเป็นอันดับแรก ถัดมาคือฟิลิปปินส์และเวียดนามที่มีประชากรสูงถึงหลักร้อยล้านคน แต่ที่มองข้ามไม่ได้คือมาเลเซีย ที่ภาครัฐมีโมเดลการลงทุนครอบคลุม นักลงทุนประสานงานได้ง่ายในทุกหน่วยงาน สามารถดึงดูดนักลงทุนได้เป็นอย่างดี”

“มาเลเซียมี MATRADE (Malaysia External Trade Development Corporation) หน่วยงานส่งเสริมการค้าของมาเลเซีย ที่มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงหน่วยงานต่างๆ ให้ผู้ประกอบการต่างชาติ พร้อมจัดประชุมและโปรโมทให้นักลงทุนทั้งหมดด้วยตัวเอง รวมถึงแสดงความยืดหยุ่นในด้านภาษี ปรับนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในลักษณะคล้ายเวียดนาม โดยยังคงให้ความสำคัญกับบริษัทผู้ลงทุนในประเทศก่อนเป็นลำดับแรกเสมอ”

เรียกได้ว่ามาเลเซียมีโอกาสเป็น Medical Hub ในอนาคต เพราะภาครัฐโปรโมทการลงทุนในธุรกิจเฮลท์แคร์เป็นจำนวนมาก และพยายามดึงดูดบริษัทผลิต Medical Device ระดับสูงเข้ามา เช่น เข็มฉีดยา แม่พิมพ์ทางการแพทย์ สายสวนหัวใจ ฯลฯ ปัจจุบันมีบริษัท MNC หรือ บริษัทข้ามชาติ (Multinational Corporation) ประมาณ 30 บริษัท เช่น Johnson & Johnson ฯลฯ และมีผู้ลงทุน Medical Technology ประมาณ 300 บริษัท

“ตลาดสุขภาพของมาเลเซีย มีโอกาสเติบโตจาก 575.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2567 เป็นกว่า 939 พันล้านดอลลาร์ในปี 2575 ขณะที่รายได้จากการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical Tourism) จะพุ่งแตะ 1.59 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงเวลาเดียวกัน”

นางสาวรุ้งเพชร กล่าวว่า ประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียนที่กล่าวมาลงทุนในธุรกิจเฮลท์แคร์ค่อนข้างสูงและก้าวเร็วว่าไทย จนเริ่มทิ้งห่างออกไปไกล ฉะนั้น หากประเทศไทยมุ่งหวังที่จะเป็น Medical Hub ตามนโยบายอาจเป็นไปได้ยาก แต่สิ่งที่น่าจะเป็นไปได้คือ Medical Tourism ที่เน้นด้านศัลยกรรม เช็คอัพ ผ่าตัดหัวใจ ดูแลรักษาผู้ป่วยด้วยศักยภาพของโรงพยาบาลเอกชน

ส่วนโรงพยาบาลรัฐยังการขาดโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรองรับสังคมผู้สูงอายุ เช่น การเดินทางสำหรับผู้ใช้รถเข็น การเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่ล่าช้าซึ่งถือเป็นข้อจำกัดที่สำคัญ นอกจากนี้ยังต้องแบกรับภาระผู้ป่วยที่ใช้บัตรทองและประกันสังคมอยู่เป็นจำนวนมาก

“ในอนาคตประเทศไทยจะประสบกับปัญหาในธุรกิจเฮลท์แคร์หลายด้าน ประชากรก็มีจำนวนลดน้อยลงเรื่อยๆ เช่นเดียวกับบุคคลากรทางการแพทย์ที่จะลดลงตามไปด้วย ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจต้องจ้างบุคคลากรจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามา โดยโครงสร้างของประเทศไทยควรเริ่มปรับโมเดลรองรับสังคมสูงวัยเต็มอัตรา ก่อนประชากรผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นครบ 25% เพื่อเป็นแนวทางในการลงทุนด้านเฮลท์แคร์ที่จะเพิ่มสูงขึ้นซึ่งไทยยังคงช้ามาก”

อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนธุรกิจด้านเฮลท์แคร์ในประเทศไทยจะต้องเริ่มที่ระบบโครงสร้างพื้นฐาน ภาครัฐต้องมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน การประสานงานดี และมีความมุ่งมั่นในการดึงดูดการลงทุน ผลักดันการส่งออก เพื่อแข่งขันให้ได้กับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน เพราะสิ่งเหล่านี้จะส่งผลให้ธุรกิจเฮลท์แคร์ของประเทศไทยก้าวหน้าได้อีกหลายมิติในอนาคต

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ฐานเศรษฐกิจ

ทหารไทยร้องเพลงชาติที่ภูมะเขือ หลังปักธงแห่งเอกราช (มีคลิป)

29 นาทีที่แล้ว

ด่วน ผู้ว่าฯสุรินทร์ แจ้งประชาชน ให้อยู่ห่างชายแดนไทย-กัมพูชารัศมี 120 กม.

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ลุยรอบ 2 ทอ.ส่ง F-16 - กริพเพน 4 ลำ ทิ้งบอมบ์พื้นที่ปราสาทตาควาย

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

การบินไทยแจ้งปรับเปลี่ยนเที่ยวบินไป-กลับ กรุงเทพฯ–พนมเปญ 27–31 ก.ค.นี้

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความสุขภาพอื่นๆ

ข่าวดีคนพิการ! สปสช. ย้ำสิทธิ UCEP เจ็บวิกฤตเข้ารพ.ใกล้บ้าน

กรุงเทพธุรกิจ

ภัยสุขภาพ! เฝ้าระวัง 'โรคติดเชื้อ-ภาวะขาดน้ำ' ซ้ำเติมชาวบ้านชายแดน

กรุงเทพธุรกิจ

สธ. เร่งระดมทีมแพทย์ส่งหน่วยเคลื่อนที่ ช่วยประชาชนชายแดนไทย-กัมพูชา

PPTV HD 36

เมื่อความถูกต้องไม่ถูกใจ เข้าข่าย "Cognitive Dissonance" ปล่อยไว้ทำร้ายตัวเอง

TNN ช่อง16

สปสช.แนะปชช. ชายแดนไทย-กัมพูชา เจ็บป่วยพบหมอออนไลน์ ฟรี!

กรุงเทพธุรกิจ

เช็กด่วน! 'ศูนย์พักพิงชั่วคราว' 4จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา

กรุงเทพธุรกิจ

ตามติด สวีเดน ประเทศเดียวอนุญาตให้จำหน่าย ยาสูบแบบเคี้ยว

กรุงเทพธุรกิจ

DPU ออกแถลงการณ์นักศึกษาใหม่รอกู้ยืม กยศ. สามารถเข้าเรียนก่อนได้

กรุงเทพธุรกิจ

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...