รู้ดีว่าเวลาของยายหลานไม่เคยเดินตรงกัน และยายก็หวังให้หนูได้ทำตาม ‘ดั่งใจปรารถนา’
หนูจำได้ไหม หนูเคยล้อยายว่าอย่างไร เมื่อยายหยุดยืนลูบต้นไม้ หนูพูดว่า“ทำอะไรน่ะยาย นั่นไม่ใช่หลังม้านะ” ยายอธิบายให้หนูฟังว่าการสัมผัสต้นไม้ไม่ต่างกับสัมผัสสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เลย ดีกว่าด้วยซ้ำ หนูกลับเดินยักไหล่ แล้วเลี่ยงไปเสียอย่างรำคาญ
ตอนนั้นยายออกจะช้ำใจอยู่บ้าง เพราะการลาเช่นนั้น การเป็นคนแก่อ่อนไหวอย่างที่ยายเป็น ยายหวังว่าหนูจะร่ำลาต่างไปจากแบบนั้น ยายหวังว่าหนูจะลายายอย่างที่ใครๆ เขาทำกัน เช่น หอมแก้มยายสักที หรือพูดอะไรซึ้งๆ สักประโยค
การกำเนิดเกิดมาในครอบครัวหนึ่ง เราย่อมรู้ว่าไม่อาจเลือกได้ เราย่อมรู้ว่าเราไม่อาจร้องขอความรักให้เท่ากับปริมาณที่เราต้องการได้ เพราะความรักไม่อาจวัดเป็นปริมาณได้ ทว่าตัวอักษรบนหน้ากระดาษในหนังสือ ‘ดั่งใจปรารถนา’ กลับทำให้เรารู้สึกถึงความรักได้อย่างท่วมท้น ความรักปริมาณนับไม่ถ้วนที่ยายเขียนถึงหลาน
ดูจะตรงกันข้ามกับงานเขียนโดยส่วนใหญ่ที่ลูกหลานค่อยๆ งอกเงยขึ้นจากวัยเยาว์ ผันผ่านเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ด้วยความรู้สึกโหยหาครอบครัว เราคิดถึงกลิ่นยาหม่อง คิดถึงกลิ่นเสื้อผ้าที่ตากแดดจนหอมฉุย คิดถึงเตียงนอนที่มีคนแอบเข้ามาเปลี่ยนผ้าปูให้ แต่ ‘หลาน’ ในหนังสือเล่มนี้เธอสลัดความคิดถึงจนหมดสิ้น เมื่อเข้าสู่วัยสะพรั่งเต็มตัว เธออยากออกผจญภัย ไม่ใช่เอาแต่ยืนรดน้ำต้นไม้ มองดูใบไม้ผลิในสวนเช่น ‘ยาย’
“ยายขา แม่ไปไหนคะ” หนูถามขณะกินอาหารเย็น
“แม่หนูเขาไปดีแล้ว” ยายตอบ “แม่ไปเที่ยวน่ะลูก ไปจนถึงสวรรค์นั่นเลย”
แล้วหนูก็ก้มหน้าก้มตากินอาหารต่ออย่างสงบ
“เราจะไปลาแม่ได้ไหมคะยาย”
“ได้สิลูก” ยายตอบ แล้วก็อุ้มหนูลงไปในสวน เรายืนด้วยกันที่สนามหญ้าอยู่นาน ขณะที่หนูโบกมือหยอยๆ ให้ดวงดาว
พ่อกับแม่ขาดหาย หลานมีเพียงยายที่เฝ้าเลี้ยงดูเธอมา หรือหากพูดให้ถูกขึ้นอีกสักนิด คงเป็นยายมากกว่าที่มีเพียงหลาน เพราะชีวิตของคนทั้งสองไม่เหมือนกันราวกับเดินอยู่ในโลกคู่ขนาน ด้วยกาลเวลาที่ทำให้คนหนึ่งยิ่งแข็งแรง ออกวิ่งเล่นไปทั่วโลกทั้งใบได้ ในขณะที่อีกคนหนึ่งโรยแรง อยากเอนกายบนเก้าอี้นวมจนกว่าพระอาทิตย์จะตกดิน
วันหนึ่งหลานของยายร้องขอว่าเธออยากไปอยู่ต่างประเทศ แน่นอนว่ายายปฏิเสธแทบไม่ต้องคิด ยายเชื่อว่านี่คือความเป็นห่วงด้วยหลานต้องอยู่โดยไม่มียายอีกแล้ว แต่ลึกๆ ยายเป็นคนขี้งก แสนจะหวงแหนไม่อยากให้หลานห่างไปไหน แค่ไม่ได้พูดออกมาให้ได้ยินก็เท่านั้น และเพราะหลานโหยหาอิสระ ทำให้ยายยอมจำนนอย่างน้อยใจ หรือที่ผ่านมาเด็กน้อยเห็นบ้านหลังนี้เป็นเพียงกรงขัง เฝ้ารอเวลาที่ปีกแข็งกร้าวพอจะโบยบินจากไป
“ช่วงวัยรุ่นมีเกราะซึ่งมองไม่เห็นก่อตัวขึ้นห่อหุ้มเรา ก่อเป็นรูปเป็นร่างและหนาขึ้นเรื่อยๆ ตลอดเวลาที่เราโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ยิ่งแผลใหญ่และลึกเท่าใด เกราะก็ยิ่งพัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น ทว่าวันหนึ่งพอเวลาผ่านไป ก็เหมือนเสื้อผ้าที่ใส่มานานนั่นเอง ตอนแรกหนูยังไม่รู้สึกอะไรดอก เพราะหนูมั่นใจว่าเกราะนั้นยังห่อหุ้มตัวหนูไว้ครบถ้วน จนกระทั่งวันหนึ่ง หนูก็จะปล่อยโฮเป็นเด็กๆ ด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องขึ้นมาเอง ทั้งๆ ที่หนูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม”
หลังจากที่หลานไม่อยู่ บ้านของยายช่างเงียบเหงา สิ่งเดียวที่เธอทำได้เมื่อคิดถึงหลาน คือการเขียนไดอารีบันทึกไว้ ด้วยเพราะจดหมายที่ส่งไปไร้วี่แววการตอบกลับ
“ยายอยากรู้เสียจริง ยายเคยไปเข้าฝันหนูบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ หนูคิดถึงบ้านบ้างหรือเปล่าลูก คิดถึงเราบ้างไหม”
หนังสือดั่งใจปรารถนาของซูซานนา ตามาโร ถูกแปลจากภาษาอิตาลีโดยสรรควัฒน์ ประดิษฐพงษ์ ด้วยถ้อยคำที่เรียบง่ายแต่กลับกัดกินใจ เหมือนถูกความเค็มของน้ำตาเซาะลงไป ภายใต้การตีพิมพ์ของสำนักพิมพ์ผีเสื้อ หากถามว่าเหมาะกับนักอ่านประเภทไหน สำนักพิมพ์ออกที่คั่นหนังสือไว้ว่าไม่เหมาะแก่เด็กอายุน้อยกว่า 15 ปี
คงเหมาะอย่างยิ่งกับผู้ที่คิดถึงกลิ่นมือแห้งเหี่ยวของใครสักคน คิดถึงความรักที่เคยได้รับอย่างท่วมท้น คิดถึงไออุ่นๆ ที่เคยอบอวลอยู่บนหัว เพียงแค่หนึ่งบทก็ทำให้อยากพับหนังสือลงเพื่อปรี่ตรงกลับบ้าน แม้เวลาของยายหลานจะสวนทางกัน แต่เราเชื่อว่ามันมีวิธีที่จะทำให้เวลาขนานกันเสมอ อยู่ที่ว่าเราจะวิ่งไปตามเวลานั้นทันหรือเปล่า เพราะหากไม่ทันขึ้นมา ยายก็มีสิ่งหนึ่งที่อยากบอกหลาน
“อย่าร้องไห้ไปเลย จริงอยู่ ยายต้องไปก่อน แต่เมื่อยายไม่อยู่แล้ว ยายก็ยังอยู่ในความทรงจำของหนู อยู่กับความทรงจำดีๆ หนูจะเห็นต้นไม้ แปลงผัก สวน แล้วก็ช่วงเวลาดีๆ ที่เรามีความสุขอยู่ด้วยกัน มันจะเข้ามาในความคิดของหนู ความรู้สึกอย่างเดียวกันนี้จะเกิดแก่หนู เวลาที่หนูไปนั่งเก้าอี้ของยาย เวลาที่หนูทำเค้กที่ยายสอนไว้วันนี้ หนูจะเห็นยายอยู่ตรงหน้า มีจมูกเป็นสีน้ำตาล”
“เมื่อใดก็ตามที่เบื้องหน้าปรากฏเส้นทางหลายสาย และหนูไม่รู้จะเลือกทางสายใด อย่าก้าวเดินไปส่งๆ แต่จงนั่งลงและรอคอย หายใจเข้าลึกๆ อย่างมั่นใจ เหมือนที่หนูได้หายใจในวันแรกเมื่อลืมตาดูโลกนี้ อย่าวอกแวกไปกับสิ่งใดเป็นอันขาด จงรอ แล้วก็รออยู่นิ่งๆ อย่างสงบ แล้วคอยเงี่ยฟังเสียงหัวใจของหนู เมื่อมันพูดกับหนูเมื่อใด เมื่อนั้นแหละ จงลุกขึ้น แล้วก้าวไปตามที่หัวใจนำทาง”
เป็นหนังสือเล่มแรกที่ผู้เขียนไม่อาจกลั้นน้ำตา มีอยู่หลายบรรทัดที่ร่ำไห้กับความโรแมนติกบนความสัมพันธ์ยายหลาน ไม่น่าเชื่อเลยว่าไดอารีหนึ่งเล่มจะเก็บความคิดถึงไว้ได้มากเพียงนี้
คิดถึงยายนะ
จากหลานที่ไม่เคยวิ่งตามเวลาให้ขนานไปกับยายได้เลย สายไปเสียแล้ว