กูรูชี้ความเชื่อมั่นหุ้นไทยฟื้น SET มีลุ้นเหนือ 1,250 จุด พร้อมแนะ 3 กลุ่มหุ้นน่าเก็บ
นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS เปิดเผยว่า ประเมินภาพรวมตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ (5 - 8 ส.ค. 68) มีแนวโน้มแกว่งตัวในทิศทางขาขึ้น โดยมองกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีที่ 1,200 – 1,250 จุด
ทั้งนี้ ปัจจัยภายในประเทศเรามองตลาดหุ้นไทยเผชิญแรง Sell on Fact เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาตลาดทุนปรับขึ้นไปพอสมควรแล้ว นอกจากนี้ ยังต้องติดตามการรายงานผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2/68 และครึ่งแรกปีนี้ ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาด รวมทั้งติดตามการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ของรัฐคาดจะออกมาในช่วง 1 - 2 เดือนข้างหน้า
ภาษีสหรัฐฯ เอื้อการค้า
ขณะที่ประเด็นเกี่ยวกับอัตราภาษีศุลกากรสหรัฐฯใหม่ที่จะเรียกเก็บกับสินค้านำเข้าจากประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศไทยได้บรรลุข้อตกลงอัตราภาษีสำหรับสินค้าที่ 19% ลดลงจากระดับก่อนหน้าที่เคยกำหนดไว้ 36% ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค. 68 เป็นต้นไป ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อแนวโน้มการค้าระหว่างประเทศ
นอกจากนี้ มองว่ายังช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างมีนัยสำคัญ เพราะสามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยได้ดีขึ้น เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งอื่นๆ ในอาเซียน
รวมทั้งยังสามารถดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ โดยเฉพาะบริษัทที่ต้องการย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศจีน เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากสงครามการค้าและต้องการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ ซึ่งไทยจะกลายเป็นฐานการผลิตที่น่าสนใจมากขึ้น
อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนเศรษฐกิจไทยโดยรวมไม่ต้องประสบปัญหาเศรษฐกิจถดถอย เนื่องจากการลดการเก็บภาษีเหลือ 19% จะช่วยพยุงไม่ให้ภาคส่งออกหดตัวรุนแรง และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศต่อเสถียรภาพทางการค้าของไทย
และสามารถช่วยลดต้นทุนสำหรับผู้ประกอบการบางราย ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสให้กับภาคการส่งออกและเศรษฐกิจไทยโดยรวม ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังคงผันผวน
ด้านธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า เริ่มเห็นสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยในเดือน มิ.ย. และชะลอต่อในไตรมาสที่ 3/68 จากผลกระทบของนโยบายการค้าโลกต่อการส่งออกสินค้า และการผลิตทั้งภาคเกษตรและอุตสาหกรรม ซึ่งอาจเป็นแรงกดดันต่อตลาดหุ้นไทยได้เช่นเดียวกัน
ปัจจัยที่ต้องจับตา
อย่างไรก็ตาม มองว่าจากนี้ไปยังคงต้องเฝ้าระวังปัจจัยในประเทศที่อาจจะส่งผลต่อการลงทุนได้เช่นกัน อาทิ วันที่ 13 ส.ค. กำหนดประชุม กนง. ครั้งที่ 4/2568, วันที่ 14 ส.ค. กำหนดส่งงบการเงินวันสุดท้ายประจำไตรมาส 2/68, วันที่ 22 ส.ค. ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาในคดีนายทักษิณ ชินวัตร จำเลยในฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
ส่วนปัจจัยต่างประเทศ อาทิ วันที่ 4 ส.ค. สหรัฐฯ รายงานยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือน มิ.ย., วันที่ 5 ส.ค. ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เปิดเผยรายงานการประชุม, ญี่ปุ่น รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือน ก.ค., สหรัฐฯ รายงานยอดนำเข้า ยอดส่งออก และดุลการค้าเดือน มิ.ย. ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือน ก.ค. และดัชนีภาคบริการเดือน ก.ค.
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนนั้น แนะนำลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชย์จากการกรณีที่สหรัฐฯ ได้บรรลุข้อตกลงอัตราภาษีสำหรับสินค้ากับประเทศไทยที่ระดับ 19% ได้แก่
- หุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เช่น AMATA, WHA และ ROJNA
- หุ้นกลุ่มส่งออกอาหาร เช่น TU, ITC และ AAI
- หุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เช่น HANA, KCE และ DELTA
เนื่องจากช่วงก่อนหน้าราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงมาต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาหุ้นมีโอกาสกลับมา Rebound ได้ในระยะสั้น