ยอดขาย Tesla ไตรมาส 2 ดิ่งต่อ สัมพันธ์ ‘มัสก์-ทรัมป์' กระทบบริษัท
รอยเตอร์รายงานว่ายอดส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าของTesla ลดลงติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 2 ซึ่งอาจส่งผลให้ยอดขายรวมทั้งปีของ Tesla ลดลงอีกครั้งในปีหน้า เนื่องจากจุดยืนทางการเมืองของ “อีลอน มัสก์” (Elon Musk) ที่โน้มเอียงไปทางฝ่ายขวาและรุ่นรถยนต์ที่เริ่มล้าสมัย ทำให้ผู้ซื้อบางส่วนเปลี่ยนใจไปหารถยนต์ยี่ห้ออื่น
ยอดส่งมอบ Tesla ต่ำคาด แต่หุ้นพุ่งสวนกระแส
ในไตรมาสที่ 2 สิ้นสุดเมื่อวันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมา Tesla ส่งมอบรถยนต์ไปได้ 384,122 คัน ซึ่งลดลง 13.5% จาก 443,956 คัน ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ขณะเดียวกัน ราคาหุ้น Tesla กลับเพิ่มขึ้น 4.5% ซึ่งการพุ่งขึ้นของราคาหุ้นนี้เป็นผลมาจากยอดส่งมอบที่ลดลงไม่รุนแรงเท่ากับสถานการณ์ที่นักวิเคราะห์บางคนคาดการณ์ไว้ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด และยังได้รับแรงหนุนจากการ ฟื้นตัวของความต้องการรถยนต์ในตลาดจีนที่เริ่มดีขึ้นเล็กน้อย
ความท้าทายในการเพิ่มยอดขายครึ่งปีหลัง
ปัจจุบัน Tesla จำเป็นต้องส่งมอบรถยนต์มากกว่า 1 ล้านคันในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งเป็นช่วงที่ยอดขายมักจะสูงกว่าปกติ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ยอดขายรวมประจำปีลดลงอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางคนมองว่าอาจเป็นเรื่องยาก เนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจจากประเด็นภาษีศุลกากร และ ความเสี่ยงที่มาตรการจูงใจในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจะถูกยกเลิก หากกฎหมายภาษีของรัฐบาลทรัมป์มีผลบังคับใช้ ซึ่งรวมถึงการยกเลิกเครดิตภาษี 7,500 ดอลลาร์สำหรับการซื้อหรือเช่ารถยนต์ไฟฟ้าใหม่
ความท้าทายในตลาดจีน
แม้ว่า Tesla จะพยายามกระตุ้นความต้องการด้วยข้อเสนอพิเศษต่างๆ แต่ก็ยังไม่ได้เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นราคาประหยัดที่เคยสัญญาไว้ในตลาดจีน ซึ่งเป็นตลาดที่คู่แข่งชาวจีนสามารถดึงดูดผู้ซื้อได้ดีกว่า ด้วยรถยนต์ไฟฟ้าที่มีดีไซน์ทันสมัยและฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครันกว่า
ก่อนหน้านี้ Tesla เคยประกาศว่าจะเริ่มผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นราคาที่ถูกลง ซึ่งคาดว่าจะเป็นModel Y ที่มีขนาดเล็กลง ภายในสิ้นเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา แต่ในเดือนเม.ย.มีการประกาศว่าการผลิตดังกล่าวจะล่าช้าออกไปอย่างน้อย 2-3 เดือน
ตลาดกังวลสัมพันธ์ ‘มัสก์-ทรัมป์’
ความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างอีลอน มัสก์ และโดนัลด์ ทรัมป์ เกี่ยวกับร่างกฎหมายภาษี กำลังสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนอย่างมาก เนื่องจากอาจทำให้ ผู้ซื้อหันหลังให้กับ Tesla มากขึ้น หลังจากที่การที่มัสก์ให้การสนับสนุนทางการเมืองได้ส่งผลให้ความต้องการในยุโรปและสหรัฐดิ่งลง
นอกจากนี้ ความขัดแย้งยังทำให้หน่วยงานกำกับดูแลหันมาตรวจสอบเทคโนโลยีรถแท็กซี่ไร้คนขับ หรือ “Robotaxi” ของ Tesla มากขึ้น ซึ่งเทคโนโลยีนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อมูลค่าของบริษัทที่เกือบแตะหนึ่งล้านล้านดอลลาร์
อ้างอิง Reuters