ครม.เคาะงบกระตุ้นศก.เฟส 2 วงเงิน 1.85 หมื่นล. รับมือภาษีทรัมป์
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 ภายใต้กรอบวงเงินรวม 18,488.36 ล้านบาท จากงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทย และพัฒนาทุนมนุษย์เพื่อรองรับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
การจัดสรรงบในรอบนี้ เป็นส่วนหนึ่งของกรอบงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 ที่มีวงเงินรวม 157,000 ล้านบาท โดยได้ใช้ไปแล้วในระยะแรกประมาณ 115,000 ล้านบาท และครั้งนี้เป็นการอนุมัติเพิ่มเติมอีก 18,488.36 ล้านบาท แบ่งเป็น 2 โครงการหลัก ดังนี้
1. โครงการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเป้าหมาย
งบประมาณ 10,000 ล้านบาท ดำเนินการโดยกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่อ ยกระดับความสามารถของผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันในเวทีโลก ท่ามกลางความท้าทายจากนโยบายภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐฯ และมาตรการภาษีขั้นต่ำ (Global Minimum Tax)
โดยเป็นกลุ่มเป้าหมาย เพื่อช่วยธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษี ทั้งรายใหญ่และผู้ลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยมีแนวทาง สนับสนุนการพัฒนาทักษะดิจิทัล วิจัยและพัฒนา และการถ่ายทอดเทคโนโลยี ทั้งระยะสั้นและระยะยาว
2. โครงการพัฒนาทุนมนุษย์ผ่าน กยศ. งบประมาณ: 8,488.36 ล้านบาท ดำเนินการโดย กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เพื่อสนับสนุนค่าเล่าเรียนและค่าครองชีพให้กับนักเรียน/นักศึกษารายใหม่และรายเก่า เพื่อป้องกันการหยุดเรียนกลางคันในปี 2568 โดยมีกลุ่มเป้าหมาย นักเรียน/นักศึกษาจำนวน 139,481 ราย
ทั้งสองโครงการสอดรับกับเป้าหมายหลักในการรับมือกับผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งแบ่งเป็น 3 ด้าน ได้แก่ การรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน และการพัฒนาทุนมนุษย์เพื่ออนาคต
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า โครงการทั้ง 2 ได้รับอนุมัติจาก ครม. โดยไม่มีข้อคัดค้าน ส่วนงบประมาณที่ยังเหลืออยู่ราว 24,000 ล้านบาท จะถูกพิจารณาเพิ่มเติมในระยะถัดไป โดยเฉพาะเพื่อใช้เยียวยากลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ
“ขณะนี้มีความชัดเจนแล้วว่า ไทยจะถูกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 19% แม้จะกระทบบางภาคส่วน แต่ไทยก็สามารถเปิดตลาดสินค้าได้เพิ่มขึ้น ขณะที่สินค้ากลุ่มเปราะบางอย่างสินค้าเกษตรยังได้รับการคุ้มครอง”