“ท่าเดินผิดปกติ” สัญญาณเตือนโรคร้าย!!
ในแต่ละวัน เราทุกคนต่างก็เดิน แต่คุณอาจไม่เคยรู้ว่า "การเดิน" เป็นมากกว่าแค่การเคลื่อนไหว แต่เป็นเหมือนกระจกสะท้อนสุขภาพของเรา หากการเดินของคุณเริ่มมีอาการแปลกไป อาจเป็นสัญญาณเตือนว่า เราต้องใส่ใจกับร่างกายให้มากขึ้น
นายแพทย์หง เติ้งพาน หัวหน้าแผนกประสาทวิทยา 7 โรงพยาบาลประสาทการแพทย์แผนจีนซีอาน เตือนว่า หากคุณรู้สึกผิดปกติขณะเดิน หรือมีรูปแบบการเดินที่เปลี่ยนแปลงไป อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าสุขภาพร่างกายกำลังมีปัญหา และต้องได้รับการตรวจเช็ก
สำหรับผู้สูงอายุที่อยากรู้ว่า หลอดเลือดมีการอุดตันหรือไม่ การลุกขึ้นเดินก็สามารถบอกได้ หากมีสัญญาณเหล่านี้เกิดขึ้น ควรให้ความสำคัญอย่างยิ่ง
- เจ็บหน้าอกขณะเดินเร็ว: มีอาการแน่นหน้าอก หรือเจ็บหน้าอกเมื่อเดินด้วยความเร็ว
- เวียนศีรษะ ปวดหัวโดยไม่ทราบสาเหตุ: รู้สึกมึนงง หรือปวดหัวโดยไม่มีสาเหตุชัดเจนขณะเดิน
- เจ็บแปลบที่หัวใจ: รู้สึกปวดที่บริเวณหัวใจขณะเดิน
- แขนขาข้างหนึ่งอ่อนแรง: มีอาการอ่อนแรง หรือควบคุมแขนขาข้างหนึ่งได้ไม่ดีขณะเดิน
- ขาอ่อนแรง ปวดกล้ามเนื้อในไม่กี่นาที: รู้สึกอ่อนล้าที่ขา หรือปวดกล้ามเนื้อหลังจากเดินได้ไม่กี่นาที
อาการเหล่านี้มักบ่งชี้ถึงปัญหา "หลอดเลือดอุดตัน" หรือ"ตีบรุนแรง" ดังนั้น หากพบอาการเหล่านี้ ควรระมัดระวังอย่างยิ่ง นอกจากนี้ ถ้าผู้สูงอายุมีอาการเวียนศีรษะบ่อยครั้ง, ทรงตัวลำบาก, หรือเดินเซไปข้างใดข้างหนึ่ง ควรระวังเรื่องหลอดเลือดอุดตันด้วยเช่นกัน
การเดินที่เปลี่ยนไป อาจเป็นสัญญาณของโรค!
การเปลี่ยนแปลงของท่าทางการเดิน อาจบ่งบอกถึงความผิดปกติในระบบข้อต่อ กล้ามเนื้อ หรือระบบประสาท เมื่ออายุมากขึ้น ทุกคนจะมีการเปลี่ยนแปลงที่เสื่อมถอยไปตามวัย เช่น ข้อต่อเสื่อม สมองฝ่อลง ซึ่งจะส่งผลให้ท่าทางการเดินเปลี่ยนไป เช่น ก้าวสั้นลง เดินช้าลง หรือข้อต่อเคลื่อนไหวได้น้อยลง
หากการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างช้าๆ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงตามวัยตามปกติ แต่ถ้าหากเกิดความผิดปกติในการเดินอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น และมีการพัฒนาที่เร็วมาก ร่วมกับอาการอื่นๆ ของระบบประสาท ก็ต้องสงสัยอย่างมากว่าอาจมีปัญหาในระบบใดระบบหนึ่ง
สัญญาณเตือนจากความผิดปกติของท่าทางการเดิน
- Magnetic Gait (Magnetic Gait - การเดินแบบติดแม่เหล็ก)
ลักษณะ: เดินโดยยกเท้าไม่ขึ้น ลากเท้าไปกับพื้น เหมือนมีแม่เหล็กดูดติดเท้า ทำให้เดินช้า ก้าวสั้น และหมุนตัวยาก และมักจะหกล้มง่ายเมื่อหมุนตัว
สัญญาณเตือนสุขภาพ: มักพบในผู้ป่วยภาวะโพรงสมองคั่งน้ำความดันปกติ (Normal Pressure Hydrocephalus) ซึ่งอาจเกิดจากภาวะสมองเสื่อมตามธรรมชาติ, เลือดออกในสมอง, หรือการติดเชื้อในสมอง ผู้ป่วยอาจมีอาการความจำเสื่อม และปัญหาการขับถ่าย เช่น ปัสสาวะบ่อย กลั้นไม่ได้ หรือปัสสาวะลำบาก
คำแนะนำ: ท่าเดินแบบนี้เสี่ยงต่อการหกล้ม ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งในผู้สูงอายุ ควรปรึกษาแพทย์ระบบประสาท หรือศัลยแพทย์ระบบประสาทโดยเร็ว และควรสวมรองเท้ากันลื่น เพิ่มราวจับในบ้าน โดยเฉพาะในห้องน้ำและห้องนอน หลีกเลี่ยงสิ่งของเกะกะบนพื้น และใช้เครื่องช่วยเดินเมื่อออกนอกบ้าน
- Penguin Walk (Penguin Walk - การเดินแบบนกเพนกวิน)
ลักษณะ: ก้าวเดินสั้นๆ ลำตัวโน้มไปข้างหน้า แขนไม่แกว่งขณะเดิน และใบหน้าแข็งทื่อ
สัญญาณเตือนสุขภาพ: ควรสงสัยอย่างยิ่งว่าเป็นสัญญาณของโรคพาร์กินสัน หรือเนื้องอกในสมอง ควรปรึกษาแพทย์ระบบประสาท หรือศัลยแพทย์ระบบประสาทโดยเร็ว
คำแนะนำ: ผู้ป่วยควรเดินช้าลง และรักษาสภาพพื้นบ้านให้แห้ง ไม่ลื่นหลุด ควรหลีกเลี่ยงการออกนอกบ้านในวันที่ฝนตก
- Scissor Gait (Scissor Gait - การเดินแบบกรรไกร)
ลักษณะ: ปลายเท้าหันเข้าด้านใน ก้าวเดินเป็นวงกลมคล้ายการวาดวงเวียน เข่าจะเสียดสีกัน หรือบางครั้งขาทั้งสองข้างอาจไขว้กันได้ เนื่องจากกล้ามเนื้อขาตึงเกร็งและหดตัว ทำให้ปลายเท้าไขว้กันคล้ายกรรไกร มักพบในผู้ป่วยที่มีภาวะแทรกซ้อนหลังเส้นเลือดในสมองตีบ/แตก
สัญญาณเตือนสุขภาพ: มักเกิดจากโรคหลอดเลือดสมอง, สมองขาดเลือด, เลือดออกในสมอง, การบาดเจ็บของไขสันหลัง, หรือโรคอัมพาตครึ่งซีกแบบกรรมพันธุ์ (Hereditary Spastic Paraplegia) ผู้ป่วยเหล่านี้มักมีความผิดปกติของการเคลื่อนไหว เช่น ขาอ่อนแรง หากเกิดในผู้สูงอายุที่มีการเปลี่ยนแปลงของกล้ามเนื้อ และแรงกล้ามเนื้ออย่างรวดเร็ว ควรระวังภาวะหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน
คำแนะนำ: ผู้ป่วยควรนวดบริเวณแขนขาที่แข็งเกร็ง และทำกายภาพบำบัดแบบ Passive โดยการช่วยขยับข้อเข่า ข้อเท้า เพื่อป้องกันกล้ามเนื้อลีบและข้อต่อติดแข็ง
- Drunken Gait (Drunken Gait - การเดินแบบคนเมา)
ลักษณะ: ผู้ป่วยมักเดินไม่เป็นแนวตรง เดินเซไปมาคล้ายคนเมา
สัญญาณเตือนสุขภาพ: เกิดจากการที่สมองส่วนเล็ก (Cerebellum) ได้รับความเสียหายจากสาเหตุต่างๆ ส่งผลให้กล้ามเนื้อตึงตัวหรืออ่อนแรง รวมถึงการเคลื่อนไหวที่ไม่ตั้งใจ หากอาการเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน อาจเกี่ยวข้องกับโรคหลอดเลือดสมองของสมองส่วนเล็ก หรือการติดเชื้อ หากอาการก้าวหน้าอย่างรวดเร็วแบบกึ่งเฉียบพลัน ต้องระวังเนื้องอกในสมองส่วนเล็ก
คำแนะนำ: ผู้ป่วยควรระมัดระวังการหกล้ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรหลีกเลี่ยงการทำงานในที่สูง
- Waddling Gait (Waddling Gait - การเดินแบบเป็ด/โยกไปมา)
ลักษณะ: ท่าเดินแบบกล้ามเนื้ออ่อนแรง มีลักษณะลำตัวและสะโพกโยกสลับซ้ายขวาขณะเดิน เนื่องจากกล้ามเนื้อลำตัวและสะโพกอ่อนแรง ไม่สามารถพยุงลำตัวและสะโพกให้มั่นคงได้
สัญญาณเตือนสุขภาพ: มักพบในผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อเสื่อม (Progressive Muscular Dystrophy) รวมถึงโรคกล้ามเนื้อกระดูกสันหลังฝ่อ (Progressive Spinal Muscular Atrophy) และโรคกล้ามเนื้อกระดูกสันหลังฝ่อในวัยเยาว์ (Juvenile Spinal Muscular Atrophy)
คำแนะนำ: หลักการรักษาคือการวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะยิ่งเริ่มรักษาช้า ประสิทธิภาพก็จะยิ่งลดลง ดังนั้น หากพบท่าเดินแบบนี้ ควรไปพบแพทย์ทันที
- Steppage Gait (Steppage Gait - การเดินแบบยกเท้าสูง/ก้าวข้ามธรณีประตู)
ลักษณะ: ท่าเดินแบบไก่ มีลักษณะการเดินที่ต้องงอข้อเข่า และข้อสะโพกให้สูงขึ้นก่อนที่จะยกปลายเท้าขึ้นจากพื้นเพื่อก้าวไปข้างหน้า คล้ายกับการก้าวข้ามธรณีประตู แม้จะไม่มีปัญหาเรื่องการทรงตัว แต่ผู้ป่วยมักจะสะดุดขอบพรมหรือวัตถุเล็กๆ บนพื้น
สัญญาณเตือนสุขภาพ: มักเกิดจากเส้นประสาท peroneal อ่อนแรง ทำให้กล้ามเนื้อส่วนปลายขาเป็นอัมพาตและเท้าตก นอกจากนี้ยังอาจพบในโรคเส้นประสาทแกนสมองเรื้อรัง (Chronic Acquired Axonal Neuropathy), โรคกล้ามเนื้อฝ่อ Charcot-Marie-Tooth (CMT), โรคกล้ามเนื้อกระดูกสันหลังฝ่อแบบก้าวหน้า และโปลิโอ
คำแนะนำ: ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการปูพรมหรือแผ่นรองบนพื้นบ้าน และไม่ควรวางสิ่งของชิ้นเล็กๆ หรือสายไฟบนพื้น เพื่อป้องกันการสะดุดล้ม
- Hemiplegic Gait (Hemiplegic Gait - การเดินแบบลากไม้กวาด/ครึ่งซีก)
ลักษณะ: เดินโดยที่ก้าวเท้าไม่เท่ากัน ขาทั้งสองข้างไม่สลับกันอย่างเป็นจังหวะ แต่ขาข้างหนึ่งก้าวออกไปแล้ว ส่วนขาอีกข้างจะลากตามมาอย่างอ่อนแรง
สัญญาณเตือนสุขภาพ: มักพบในผู้ป่วยหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท เนื่องจากเส้นประสาทถูกกดทับ ทำให้กล้ามเนื้อขาข้างหนึ่งอ่อนแรง หากอาการรุนแรงขึ้น อาจนำไปสู่ภาวะเดินกะเผลกเป็นครั้งคราว
คำแนะนำ: ควรไปพบศัลยแพทย์ระบบประสาทเพื่อวินิจฉัยและพิจารณาการทำกายภาพบำบัดและการดูแลที่บ้าน ในชีวิตประจำวัน ควรนอนบนเตียงแข็ง หลีกเลี่ยงการนั่งนานๆ ลดภาระของกระดูกสันหลังส่วนเอว หลีกเลี่ยงการก้มตัวยกของหนัก ระวังเรื่องการรักษาความอบอุ่น และควรเดินอย่างต่อเนื่อง 40-60 นาทีต่อวัน โดยให้รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย แต่ไม่ควรออกกำลังกายหักโหมจนเกินไป เพราะอาจทำให้อาการแย่ลง
ที่มาและภาพ: scitechdaily, freepik