แม่ฟ้าหลวง กางแผนครึ่งปีหลัง ร่วมเวทีนานาชาติ สานต่อความยั่งยืน
ม.ล.ดิศปนัดดา ดิศกุล เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยถึงการขับเคลื่อน ภารกิจในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 ว่ามูลนิธิมีแผนงานที่จะขับเคลื่อนประเด็นและแบ่งปันองค์ความรู้เรื่องความยั่งยืน โดยเข้าร่วมประชุม สัมมนา ในเวทีระดับนานาชาติ หลายเวที โดยถือเป็นส่วนสำคัญที่จะนำองค์ความรู้ที่ปฏิบัติได้จริงจาก “ตำราแม่ฟ้าหลวง” สู่เวทีโลกด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ (Climate Change) ครอบคลุมป่า ดิน น้ำ และความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อรับมือกับ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ได้แก่
1.เวที WEF - Global Future Councils (ดูไบ) ในระหว่างวันที่ 14 - 16 ตุลาคม 2568 ณ นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ก้าวขึ้นสู่เวที WEF ในฐานะผู้แทนประเทศไทย โดยหนึ่งในไฮไลต์สำคัญคือการที่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้รับเลือกเป็น 1 ใน 3 ตัวแทนประเทศไทยที่เข้าร่วม Network of Global Future Councils ของ World Economic Forum (WEF)
โดยดำรงตำแหน่งสมาชิกใน สภาอนาคตโลกด้าน “ดิน” (Global Future Council on Soil) ซึ่งถือเป็นทุนธรรมชาติพื้นฐานที่มีบทบาทสำคัญทั้งต่อความมั่นคงทางอาหาร การดูดซับคาร์บอน และการฟื้นฟูระบบนิเวศ งานนี้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกในสาขาต่างๆ เพื่อระดมความคิดเชิงนโยบายสำหรับโลกอนาคต
2.เวทีการประชุมสุดยอดสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติ ครั้งที่ 30 (UNFCCC COP30) ในระหว่างวันที่ 10 ถึง 21 พฤศจิกายน 2568 ณ เมืองเบเลม ประเทศบราซิล
โดยมูลนิธิฯ ยังได้รับบทบาทสำคัญใน การประชุมสมัชชาภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC COP30) โดยมูลนิธิฯ ทำหน้าที่เป็น Content Manager ให้กับรัฐบาลไทย ในการจัดกิจกรรมในพื้นที่ศาลาไทย (Thailand Pavilion) โดยเน้นการสะท้อนการผนึกกำลังของภาคส่วนต่างๆ เพื่อเปลี่ยนเจตนารมณ์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ (Climate Action) ให้เป็นรูปธรรมโดยเฉพาะประเด็น ความหลากหลายทางชีวภาพที่กำลังได้รับความสนใจมากขึ้นในกลไกด้านสิ่งแวดล้อมของโลก
3.ด้านน้ำ: มูลนิธิฯ ได้รับเชิญเข้าร่วม Southeast Asia Partnership on Adaptation through Water (SEAPAW) ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง Singapore International Foundation และ World Economic Forum โดยเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้ผู้กำหนดนโยบาย ภาคเอกชน สถาบันการเงิน และองค์กรวิจัย ได้แลกเปลี่ยนแนวทางการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศผ่านมิติของน้ำ
ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญระดับภูมิภาคที่มีผลกระทบทั้งต่อเศรษฐกิจ ความมั่นคง และชีวิตของประชาชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ : เริ่มมาตั้งแต่ปีที่แล้ว 2567 และมีการทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่องและเข้มข้นขึ้นในปีนี้ 2568
และ 4.ในช่วงเดือนตุลาคม 2568 นี้ ศูนย์วิจัย Centre for Nature-based Climate Solutions (CNCS) หน่วยงานวิจัยภายใต้มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (National University of Singapore: NUS) ซึ่ง ทั้ง 2 หน่วยงานถือเป็นสถาบันชั้นนำระดับโลกด้านคาร์บอนและความหลากหลายทางชีวภาพจากประเทศสิงคโปร์ จะส่งทีมพร้อมเทคโนโลยีพิเศษมาที่ดอยตุง
เพื่อทำการวิจัยและจัดทำฐานข้อมูลพื้นที่อนุรักษ์ การประเมินคาร์บอนและความหลากหลายทางชีวภาพที่ดอยตุง เพื่อเป็นต้นแบบส่งเสริมการฟื้นฟูธรรมชาติในพื้นที่อื่นๆ ซึ่งถือเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่างประเทศไทยและสิงคโปร์โดย มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ CNCS และ NUS จะทำงานร่วมกันเพื่อส่งเสริมการทำงานในเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ ที่เป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจในเวทีโลกมากขึ้นเรื่อยๆ