เปิดข้อมูลใหม่ ‘เด็กไทย’ เริ่มมีภาวะ ‘ตัวเตี้ย’ เกินเกณฑ์เป้าหมาย
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยรายงาน ภาวะสังคมไทย ไตรมาสที่ 2 ปี 2568 โดยตอนหนึ่งได้รายงานสถานการณ์ด้านสุขภาพคนไทยพบว่า คนไทยดื่มนมน้อย ทำให้ เด็กไทยมีภาวะเตี้ยเพิ่มขึ้น หลังข้อมูลของกรมอนามัย ปี 2568 พบคนไทยดื่มนมเฉลี่ยเพียงคนละ 23.1 ลิตร/คน/ปี หรือดื่มนมเพียงคนละ 2 แก้ว/สัปดาห์ ซึ่งน้อยกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ดื่มนมเฉลี่ยคนละ 31 ลิตร/คน/ปี
ทั้งนี้หากเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย อาทิ ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ดื่มนมเฉลี่ยคนละ 36 ลิตร/คน/ปี ขณะที่เมื่อเทียบกับประเทศทางตะวันตก อาทิ แคนาดา ดื่มนมเฉลี่ยคนละ 56.8 ลิตร/คน/ปี และเดนมาร์ค 52.0 ลิตร/คน/ปี
กรมอนามัย ระบุว่า การดื่มนมน้อยเป็นหนึ่งในสาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เด็กไทยมีความสูงน้อยกว่าเกณฑ์ สะท้อนได้จากข้อมูล DOH Dashboard ของกรมอนามัย ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 (1 ตุลาคม 2567 – 1 มิถุนายน 2568 ) พบว่า เด็กอายุ 0 – 5 ปี มีภาวะเตี้ย 12.9% เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ที่ 12%
ส่วน เด็กวัยเรียน อายุ 6 – 14 ปี เข้าข่ายมีภาวะเตี้ยเพิ่มขึ้นจาก 9.8% ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 เป็น 10.8% ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 สูงกว่าเกณฑ์เป้าหมายที่กำหนดไว้ ซึ่งประเทศไทยกำหนดเกณฑ์เป้าหมายให้เด็กอายุ 0 – 5 ปี มีภาวะเตี้ยไม่เกินร้อยละ 9 และเด็กอายุ 6 – 14 ปี มีภาวะเตี้ยไม่เกิน 5% เป็นข้อบ่งชี้ว่าการเจริญเติบโตของเด็กยังไม่ดีเท่าที่ควร
ดังนั้น จึงควรส่งเสริมให้ผู้ปกครองดูแลเด็กที่มีภาวะเตี้ย โดยเน้นปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต และการดูแลสุขภาพองค์รวมของเด็ก ดังนี้
1. ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะเตี้ยที่เกิดขึ้น เพื่อให้สามารถดูแลบุตรหลานได้
2. การส่งเสริมโภชนาการที่เหมาะสมด้วยการให้บริโภคอาหารครบ 5 หมู่
3. การออกกำลังกายและทำกิจกรรมที่ชอบเหมาะสมกับวัยอย่างสม่ำเสมอ อาทิ ว่ายน้ำ หรือกระโดดเชือก
4. การดูแลการนอนหลับพักผ่อนของเด็กให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 8 - 10 ชั่วโมงต่อวัน
5. การพาเด็กไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพเป็นประจำและตรวจเช็คพัฒนาการและการเจริญเติบโต
นอกจากนี้ ยังต้องให้ความสำคัญในการรณรงค์เพื่อให้คนไทยทุกวัยดื่มนมจืดมากขึ้น โดยเฉพาะวัยเด็กควรดื่มนมเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 2 แก้ว เพื่อสุขภาพแข็งแรง สูงสมวัยอย่างเหมาะสม
สำหรับภาพรวมด้าน สุขภาพคนไทย ในไตรมาสสอง ปี 2568 พบว่าจำนวนผู้ป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังโดยรวมเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2567 ที่ 27.2% หรือเพิ่มจาก 202,879 ราย เป็น 258,105 ราย โดยโรคที่มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นมาก ได้แก่ โรคไข้หวัดใหญ่ โรคปอดอักเสบ และโรคมือ เท้า ปาก
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากการขยายตัวของจำนวนผู้ป่วย พบว่า ผู้ป่วยด้วยโรคมือ เท้า ปาก เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 65.7% หรือเพิ่มขึ้นถึง 1.7 เท่า ซึ่งในปี 2568 โรคมือ เท้า ปาก เริ่มระบาดตั้งแต่เดือนมิถุนายน และมีแนวโน้มจะระบาดต่อเนื่องถึงเดือนกันยายน
จากข้อมูลของกองระบาดวิทยา ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 5 สิงหาคม 2568 พบผู้ป่วยโรคมือ เท้า ปาก จำนวน 48,154 ราย โดยพบผู้ป่วยสูงสุดในพื้นที่ภาคใต้ รองลงมาเป็น กรุงเทพมหานคร และภาคกลาง ส่วนใหญ่เป็นเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี
จึงต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษในกลุ่มเด็กเล็กและเด็กวัยเรียน เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันน้อยและต้องอาศัยอยู่รวมกันจำนวนมากในสถานรับเลี้ยงเด็กและโรงเรียน ทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย