ดัชนีวัดอารมณ์ผู้ลงทุน "กล้า vs กลัว"
การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์มักสะท้อนทั้งปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจและอารมณ์ของผู้ลงทุน ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญที่อาจถูกมองข้าม เมื่อเกิดภาวะที่ราคาหุ้นปรับตัวไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน เช่นในช่วงฟองสบู่ Dot-Com หรือ วิกฤติ Subprime
โดยมีราคาหุ้นที่พุ่งสูงเกินมูลค่าพื้นฐานในช่วงที่นักลงทุนกล้ามากเกินไป หรือปรับตัวลงต่ำเกินควรในภาวะที่เกิดความกลัว ปัจจัยทางจิตวิทยา เช่น ความเชื่อมั่น ความไม่แน่นอน และการตัดสินใจแบบกลุ่ม (Herd Behavior) จึงมีบทบาทสำคัญต่อพฤติกรรมตลาด การเข้าใจอารมณ์ของนักลงทุนและผลต่อมูลค่าหลักทรัพย์จึงเป็นสิ่งน่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการประเมินโอกาสและความเสี่ยงในตลาดหุ้นอย่างรอบด้าน
ในหลายๆเหตุการณ์ นักลงทุนอาจมีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจและการลงทุน โดยที่ปัจจัยพื้นฐานก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นที่ลดลงอาจสะท้อนถึงปัจจัยด้านอารมณ์ของนักลงทุนที่เริ่มมีความกังวลมากขึ้น
ปัจจัยเหล่านี้รวมถึงการขายหุ้นอย่างต่อเนื่องของนักลงทุนต่างชาติ เหตุการณ์ทางการเมือง ความไม่แน่นอนจากปัจจัยต่างประเทศ เช่น อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) หรือผลของสงครามการค้า ตลอดจนความเชื่อมั่นเกี่ยวกับประเด็นธรรมาภิบาลและการกำกับดูแลกิจการของบางบริษัท
สิ่งเหล่านี้อาจส่งผลให้การซื้อขายในตลาดลดลง และนักลงทุนบางกลุ่มเลือกที่จะชะลอการลงทุนหรือหันไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่นๆแทน
การวัดอารมณ์ของผู้ลงทุนในตลาดหุ้นสามารถทำได้หลากหลายวิธี โดยหนึ่งในแนวทางที่ได้รับความนิยมคือ Market-Based Approach ซึ่งใช้ตัวชี้วัดที่ได้จากข้อมูลตลาดจริง เช่น ดัชนีความผันผวน (VIX), อัตราส่วน Put-Call Ratio, หรือข้อมูลการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติ
รวมถึงดัชนีที่สร้างจากหลายตัวชี้วัดอย่าง Fear and Greed Index โดยเครื่องมือเหล่านี้สะท้อนอารมณ์ของตลาดในเชิงปริมาณได้อย่างรวดเร็วจากพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจริงในตลาด
ข้อดี ของ Market-Based Approach คือความรวดเร็วและความครอบคลุม เนื่องจากดัชนีเหล่านี้สร้างขึ้นจากข้อมูลตลาดในแบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถสะท้อนอารมณ์ของผู้ลงทุนได้ทันทีและเหมาะสำหรับการติดตามอารมณ์ในภาพรวม นอกจากนี้ยังมีความเป็นกลางเพราะใช้ข้อมูลจากพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจริงแทนที่จะพึ่งพาคำตอบเชิงความเห็น
อย่างไรก็ตาม ข้อเสีย คือ การตอบสนองที่ไวต่อเหตุการณ์ระยะสั้น เช่น การประกาศข่าวสำคัญ หรือความไม่แน่นอนในตลาด อาจทำให้ดัชนีเกิดความผันผวนมากเกินไป
นอกจากนี้ คุณภาพของ Market-Based Approach ยังขึ้นอยู่กับการเลือกตัวชี้วัดหรือ Proxy ที่เหมาะสม หากเลือกตัวแปรที่ไม่ครอบคลุม ก็อาจนำไปสู่การตีความที่คลาดเคลื่อน
ตัวชี้วัดจัดทำดัชนีที่สะท้อนอารมณ์นักลงทุนในตลาดหุ้น
Fear and Greed Index ที่สร้างจากตัวชี้วัดแบบ Market-Based Approach รวบรวมข้อมูลที่สะท้อนอารมณ์ของตลาดในภาพรวม ทำให้สามารถบ่งชี้ภาวะความกลัว (Fear) และความโลภ (Greed) ที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดราคาหลักทรัพย์ และควรถูกออกแบบมาให้เข้าใจง่ายและสามารถนำไปใช้ได้หลากหลายบริบท
ตัวอย่างเช่น ผู้จัดการกองทุนและนักลงทุนสถาบันมักใช้ดัชนีที่สะท้อนอารมณ์นักลงทุน ในการปรับกลยุทธ์การลงทุน โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง อาจเพื่อใช้ระบุจุดซื้อหรือขายสินทรัพย์ในเชิง Contrarian นักลงทุนบางรายใช้ดัชนีนี้เป็นเครื่องมือช่วยตัดสินใจในการบริหารความเสี่ยง เช่น การลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงในช่วงที่ตลาดอยู่ในภาวะ"Extreme Greed" หรือลงทุนเพิ่มในช่วง "Extreme Fear"
Fear and Greed Index ยังถูกนำไปใช้ในงานวิจัยที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างอารมณ์ตลาดกับพฤติกรรมของนักลงทุน เช่น การวิเคราะห์ผลกระทบของอารมณ์ตลาดต่อความผันผวนของราคาหลักทรัพย์และความเสี่ยงในระดับระบบ (Systemic Risk)
นอกจากนี้ ในบริบทของการสื่อสารและการตลาดเชิงการเงิน สื่อการเงินและที่ปรึกษาการลงทุนยังใช้ดัชนีนี้เป็นเครื่องมือในการให้ความรู้แก่นักลงทุนทั่วไป ให้เข้าใจอารมณ์ตลาดและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อพอร์ตการลงทุนของพวกเขา และงานวิจัยหลายชิ้นใช้ Fear and Greed Index เพื่อศึกษาผลกระทบของอารมณ์ตลาดต่อการกำหนดราคาหลักทรัพย์และพฤติกรรมของผู้ลงทุน โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ตลาดเกิดความผันผวนอย่างรุนแรง
Fear and Greed Index ถูกออกแบบมาเพื่อวัดอารมณ์ของนักลงทุน โดยการรวบรวมข้อมูลจากหลายมิติของตลาดการเงินและนำมาวิเคราะห์รวมกันเป็นค่าดัชนีเดียว ตั้งแต่ระดับ 0 ถึง 100 โดยค่าที่ใกล้ 0 หมายถึง"Extreme Fear" (ความกลัวขั้นสูงสุด)
และค่าที่ใกล้ 100 หมายถึง "Extreme Greed" (ความกล้าขั้นสูงสุด) กระบวนการสร้างดัชนีนี้อาศัยการรวบรวมข้อมูลที่สะท้อนพฤติกรรมและการตัดสินใจของนักลงทุนในตลาดจริง โดยตัวชี้วัดที่นิยมนำมาใช้มักอยู่ในกลุ่มต่อไปนี้
แนวทางการจัดทำดัชนีที่สะท้อนอารมณ์นักลงทุนในตลาดหุ้นไทย
ในปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทยมีตัวชี้วัดอารมณ์ผู้ลงทุนในรูปแบบ Survey-Based เช่น การสำรวจความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนรายย่อยและสถาบันที่จัดทำโดยสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) หรือดัชนีความเชื่อมั่นผู้ลงทุน (Investor Confidence Index - ICI) ที่จัดทำโดยสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ซึ่งสะท้อนมุมมองของผู้ลงทุนเกี่ยวกับแนวโน้มตลาดในอนาคต
ขณะเดียวกันตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีการจัดทำ Investor Sentiment Index ในรูปแบบ Market-Based โดยใช้งานตัวชี้วัด เช่น การติดตามมูลค่าซื้อขายสุทธิของผู้ลงทุนต่างชาติ อัตราส่วนการออกตราสารทุนเทียบกับตราสารหนี้ จำนวนหุ้น IPO และ มูลค่าการซื้อขายรายเดือนในตลาดหลักทรัพย์ โดยตัวดัชนีนี้ใช้ข้อมูลที่สะท้อนพฤติกรรมการซื้อขายจริงในตลาดเพื่อประเมินอารมณ์ของผู้ลงทุนทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ
การพัฒนา Fear and Greed Index สำหรับตลาดหุ้นไทยจะช่วยเพิ่มมุมมองและเติมเต็มช่องว่างสำคัญโดยการรวบรวมข้อมูลในหลายมิติ เช่น ความผันผวนในตลาด ความสมดุลระหว่างแรงซื้อและแรงขายและพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนกลุ่มต่างๆ
รวมทั้งดัชนีที่สะท้อนอารมณ์ผู้ลงทุนที่มีความถี่มากขึ้นจากรายเดือนเป็นรายวันจะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจสภาวะตลาดได้ชัดเจนและทันเหตุการณ์ เพิ่มความสามารถในการวางกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสม และยังช่วยให้สถาบันและหน่วยงานต่างๆ สามารถติดตามความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมตลาด เช่น ความเสี่ยงจากฟองสบู่หรือการขายตื่นตระหนกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
จากการสำรวจความคิดเห็นของนักลงทุนไทยในเดือนพฤษภาคม 2568 เกี่ยวกับการจัดทำดัชนี Fear and Greed Index จำนวน 1,243 คน พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนในช่วงวัย Gen X และ Gen Y และที่น่าสนใจคือ นักลงทุนจำนวนมากถึงร้อยละ 59 มีประสบการณ์การลงทุนมากกว่า 5 ปี แสดงให้เห็นว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีความคุ้นเคยกับตลาดพอสมควร และอาจเคยผ่านช่วง
ภาวะตลาดที่มีความผันผวนมาแล้วหลายครั้งทำให้มุมมองของกลุ่มตัวอย่างมีน้ำหนักในแง่ของประสบการณ์จริง ในส่วนของประเภทสินทรัพย์ที่ลงทุนในปัจจุบัน คำตอบส่วนใหญ่สะท้อนว่านักลงทุนเน้นลงทุนใน“หุ้น” เป็นหลัก โดยมีสัดส่วนสูงถึงเกือบ 80% ของกลุ่มตัวอย่าง
รองลงมา คือ กองทุนรวม และสินทรัพย์อื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งบ่งชี้ว่าดัชนี Fear and Greed ที่จะนำไปใช้ควรเน้นการสะท้อนสภาวะของตลาดหุ้นเป็นหลัก มากกว่าตลาดการเงินประเภทอื่น เช่น พันธบัตรหรืออสังหาริมทรัพย์
เมื่อสอบถามถึงปัจจัยที่นักลงทุนใช้ประเมินภาวะ “ตลาดผันผวน” นักลงทุนส่วนใหญ่เลือก “ข่าวหรือเหตุการณ์สำคัญ” และ “ราคาหุ้นที่ขึ้นหรือลงแรง” เป็นปัจจัยหลักที่บ่งชี้ ความกลัวหรือความกล้าของตลาด แสดงให้เห็นว่า ความรู้สึกของนักลงทุนไทย มักได้รับอิทธิพลโดยตรงจากสื่อต่างๆ และการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในระยะสั้น ในแง่มุมของอารมณ์ นักลงทุนกว่า 90% ยอมรับว่า“อารมณ์” มีผลต่อการตัดสินใจลงทุนโดยผู้ลงทุน 57% ตอบว่า “มีผลมาก” ในขณะที่ 36% ตอบว่า “มีผลพอสมควร”
นอกจากนั้น หากรวมกลุ่มตัวอย่างที่มองว่าตลาดในช่วงเวลานี้อยู่ในภาวะของ “ความกลัว” และ “ความกลัวมาก” เข้าด้วยกันพบว่าคิดเป็น 70% ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด
ซึ่งสอดคล้องกับตัวชี้วัดแทบทุกตัวแสดงให้เห็นว่าผู้ลงทุนในเดือนพฤษภาคม 2568 ซึ่งเป็นช่วงที่กำลัง Survey มีความกลัวมากกว่ากล้า และในแบบสอบถามยังระบุถึงพฤติกรรมเชิงลึกของกลุ่มตัวอย่าง ว่าเมื่อรู้สึกถึงภาวะความกลัวในตลาดพวกเขามักจะทำอย่างไร พบว่า ผู้ตอบ 41% บอกว่าจะหยุดลงทุนหรือถือเงินสดไว้ก่อนเพื่อรอดูสถานการณ์
ขณะที่ 18% ตอบว่าจะทยอยลงทุนเพิ่มเมื่อมีความมั่นใจ ตามมาด้วย 16% ที่ยืนยันว่ายึดตามกลยุทธ์เดิมไม่เปลี่ยนแผนตามอารมณ์ของตลาด ขณะที่ 15% จะเข้าซื้อสวนกระแส (Contrarian)
โดยสรุป การพัฒนา Fear and Greed Index สำหรับตลาดหุ้นไทยพอจะมีศักยภาพ เนื่องจากตลาดหุ้นไทยมีข้อมูลเกือบทุกมิติที่ถูกใช้เป็นส่วนประกอบหลักในดัชนี นอกจากนี้ข้อมูลที่นำมาคำนวณยังสามารถเข้าถึงได้อย่างแพร่หลายแต่ผู้ลงทุนอาจยังไม่คุ้นเคย เช่น อัตราส่วนของ Put to Call และ ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven Demand) ทำให้ดัชนีนี้อาจสามารถสะท้อนอารมณ์ของนักลงทุนในภาพรวมได้อย่างครบถ้วนมากขึ้น
อีกทั้งข้อมูลที่นำมาใช้เป็นองค์ประกอบในการสร้างดัชนีมีความถี่สูงพอที่จะสามารถอัพเดทได้เป็นรายวันซึ่งแตกต่างจาก Investor Sentiment Index อื่นๆที่มีอยู่ในตลาดการพัฒนา Fear and Greed Index โดยอิงแนวทางนี้จะช่วยเสริมความเข้าใจในอารมณ์ตลาดของนักลงทุนทั้งรายย่อยและสถาบันได้อย่างเป็นรูปธรรม
นักลงทุนสามารถใช้ดัชนีนี้เป็นตัวบ่งชี้ภาวะตลาดในเชิง sentiment เพื่อปรับกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะกับตนเอง เช่น สำหรับแนวทาง Contrarian อาจเพิ่มน้ำหนักลงทุนในช่วง "Extreme Fear" หรือการลดความเสี่ยงในช่วง "Extreme Greed"
นอกจากนี้ ดัชนีนี้ยังอาจช่วยให้สถาบันและหน่วยงานต่างๆ ผสามารถดูแลติดตามความเสี่ยงเชิงระบบ (Systemic Risk) ได้ดียิ่งขึ้น เช่น การก่อตัวของภาวะฟองสบู่หรือการตื่นตระหนกขายในตลาด
เพื่อเพิ่มความมั่นใจว่าดัชนี Fear and Greed สามารถนำมาใช้ได้ในบริบทของตลาดหุ้นไทย การทดสอบสามารถทำได้โดยใช้วิธี Backtesting โดยนำค่าดัชนีย้อนหลังไปเปรียบเทียบกับเหตุการณ์จริงในอดีต เช่น การออกมาตรการเพื่อช่วยกระตุ้นตลาดหุ้น หรือความกังวลเกี่ยวกับเรื่องการเจรจาการค้า หรือ ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์
นอกจากนี้ ควรตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างค่าดัชนีกับตัวชี้วัดอื่นๆในตลาด เช่น การเคลื่อนไหวของ SET Index หรือปริมาณการซื้อขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ อีกทั้ง อาจทำการสอบถามความคิดเห็นเพิ่มเติมจากผู้ใช้งานจริง เช่น นักลงทุน ผู้จัดการกองทุน หรือผู้วิเคราะห์การลงทุน เพื่อประเมินว่าดัชนีสามารถสะท้อนความรู้สึกของตลาดได้ตรงตามความเป็นจริงหรือไม่
การปรับปรุงดัชนีอย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำเหล่านี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือของ Fear and Greed Index ในการใช้งานจริงในตลาดหุ้นไทย รวมทั้งการพัฒนาดัชนียังควรคำนึงถึงทั้งคุณภาพของข้อมูลและการออกแบบให้เหมาะสมกับบริบทเฉพาะของตลาดหุ้นไทยเพื่อให้สามารถใช้งานได้จริงและมีประโยชน์ต่อผู้ลงทุนทุกกลุ่มได้