'อีลอน มัสก์'ตั้งพรรคการเมืองใหม่ America Party ลั่นจะสู้กับ "ระบบพรรคเดียว" ที่ครอบงำประเทศ
อีลอน มัสก์ อดีตพันธมิตรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันเสาร์ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ ว่าเขาได้จัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ในสหรัฐฯ เพื่อท้าทายการเมืองแบบที่เขาเรียกว่า "ระบบพรรคเดียว" ของประเทศ
มัสก์ ซึ่งเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกและผู้บริจาคเงินทางการเมืองรายใหญ่ที่สุดของทรัมป์ในการเลือกตั้งปี 2024 เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับประธานาธิบดี หลังจากที่นำความพยายามของพรรครีพับลิกันในการลดการใช้จ่ายและเลิกจ้างพนักงานของรัฐบาลกลางในตำแหน่งหัวหน้าแผนกที่เรียกว่า แผนกประสิทธิภาพของรัฐบาล (DOGE)
มัสก์ขัดแย้งกับทรัมป์เกี่ยวกับแผนการใช้จ่ายในประเทศจำนวนมหาศาลของประธานาธิบดี โดยกล่าวว่าแผนดังกล่าวจะทำให้หนี้ของสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้น และให้คำมั่นว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะสมาชิกรัฐสภาที่ลงคะแนนเสียงให้กับแผนดังกล่าว
ตอนนี้เขาได้สร้างสิ่งที่เรียกว่าพรรคอเมริกา ซึ่งเป็นกรอบทางการเมืองของเขาเอง เพื่อพยายามบรรลุเป้าหมายดังกล่าว
“เมื่อพูดถึงการทำให้ประเทศของเราล้มละลายด้วยการทุจริตและผลาญ เราอาศัยอยู่ในระบบพรรคเดียว ไม่ใช่ประชาธิปไตย” มัสก์ หัวหน้า Space X และ Tesla โพสต์บน X ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่เขาเป็นเจ้าของ
“วันนี้ พรรคอเมริกา (America Party) ก่อตั้งขึ้นเพื่อคืนอิสรภาพให้กับคุณ”
มัสก์อ้างถึงการสำรวจที่เริ่มขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคมที่ผ่านมาซึ่งเป็นวันประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา โดยเขาถามว่าผู้ตอบแบบสอบถาม “ต้องการความเป็นอิสระจากระบบสองพรรค (บางคนอาจบอกว่าเป็นพรรคเดียว) หรือไม่” ที่ครอบงำการเมืองของสหรัฐอเมริกามายาวนานกว่าสองศตวรรษ
แบบสำรวจแบบตอบใช่หรือไม่นี้ได้รับคำตอบมากกว่า 1.2 ล้านคน
“ด้วยอัตราส่วน 2 ต่อ 1 คุณต้องการพรรคการเมืองใหม่ และคุณก็จะได้มัน!” เขาโพสต์เมื่อวันเสาร์
มัสก์ยังแชร์มีมที่เป็นรูปงูสองหัวและคำบรรยายใต้ภาพว่า “ยุติพรรคเดียว”
'เน้นไปที่นักกฎหมายที่เปราะบาง'
ไม่ชัดเจนว่าพรรคการเมืองใหม่จะมีผลกระทบมากเพียงใดต่อการเลือกตั้งกลางเทอมในปี 2026 หรือการลงคะแนนเสียงประธานาธิบดีในอีกสองปีหลังจากนั้น
การทะเลาะวิวาทระหว่างทรัมป์และมัสก์กลับมาปะทุอีกครั้งในรูปแบบดราม่าเมื่อปลายเดือนที่แล้ว เมื่อทรัมป์ผลักดันให้พรรครีพับลิกันในรัฐสภาผลักดันวาระสำคัญในประเทศในรูปแบบของร่างกฎหมาย One Big Beautiful Bill
มัสก์แสดงการคัดค้านกฎหมายดังกล่าวอย่างรุนแรง และโจมตีผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันอย่างโหดร้ายที่สนับสนุน "การเป็นทาสหนี้"
เขาให้คำมั่นว่าจะจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่เพื่อท้าทายสมาชิกรัฐสภาที่ก่อนหน้านี้เคยรณรงค์หาเสียงให้ลดการใช้จ่ายของรัฐบาลกลาง แต่ตอนนี้กลับลงคะแนนเสียงให้กับร่างกฎหมาย One Big Beautiful Bill ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุว่าจะทำให้ขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้น 3.4 ล้านล้านดอลลาร์ตลอดทศวรรษ
"พวกเขาจะแพ้การเลือกตั้งขั้นต้นในปีหน้า หากนั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ฉันทำบนโลกใบนี้" มัสก์กล่าวเมื่อต้นสัปดาห์นี้
หลังจากมัสก์วิจารณ์ร่างกฎหมายการใช้จ่ายสำคัญอย่างหนัก ซึ่งท้ายที่สุดก็ผ่านสภาคองเกรสและลงนามเป็นกฎหมายอย่างเป็นทางการ ส่วนทรัมป์ตอยโต้มัสก์ด้วยการขู่ว่าจะเนรเทศเจ้าพ่อเทคโนโลยีรายนี้และยึดเงินของรัฐบาลกลางจากธุรกิจของเขา
“เราคงต้องดูกันต่อไป” ทรัมป์กล่าวกับนักข่าวเมื่อถูกถามว่าเขาจะพิจารณาเนรเทศมัสก์หรือไม่ เพราะเขาเกิดในแอฟริกาใต้แต่ก็ถือสัญชาติอเมริกันตั้งแต่ปี 2002
เมื่อวันศุกร์หลังจากโพสต์ผลสำรวจ มัสก์ได้วางแผนการรบทางการเมืองที่เป็นไปได้เพื่อแย่งชิงที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาที่อ่อนแอ และกลายมาเป็น “ผู้ลงคะแนนเสียงชี้ขาด” ในกฎหมายสำคัญ
“วิธีหนึ่งในการดำเนินการตามแผนนี้คือมุ่งเน้นไปที่ที่นั่งในวุฒิสภาเพียง 2 หรือ 3 ที่นั่งและเขตเลือกตั้ง 8 ถึง 10 เขต” มัสก์โพสต์บน X
ทั้งนี้ ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ ทั้งหมด 435 ที่นั่งจะว่างลงทุก ๆ สองปี ในขณะที่สมาชิกวุฒิสภาประมาณหนึ่งในสามจากทั้งหมด 100 คน ซึ่งดำรงตำแหน่งวาระละ 6 ปี จะได้รับการเลือกตั้งทุก ๆ สองปี ซึ่งนี่เรียกว่ากานเลือกตั้งกลางเทอม เพราะหมายถึงการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาที่เกิดขึ้นเมื่อผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งมาแล้ว 2 ปีจากทั้งหมด 4 ปี
ผู้สังเกตการณ์บางคนรีบชี้ให้เห็นว่าแคมเปญของพรรคการเมืองพรรคที่สามนอกเหนือจากพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแตครต มักจะเป็นตัวดึงคะแนนเสียงของพรรคอื่นเสมอมา ดังเช่นแคมเปญของนักธุรกิจชื่อรอสส์ เพอโรต์ที่ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 1992 ซึ่งมีส่วนดึงคะแนนและบ่อนทำลายความพยายามของจอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุชในการเลือกดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีตั้งซ้ำ และส่งผลให้บิล คลินตันจากพรรคเดโมแครตได้รับชัยชนะ
ผู้ใช้ X คนหนึ่งเขียนถึงมัสก์ว่า "คุณกำลังเลียนแบบรอสส์ เพอโรต์ และฉันไม่ชอบเลย"
Agence France-Presse
Photo by Allison ROBBERT / AFP