วัยกลางคนไม่ใช่วิกฤติ แต่มีศักยภาพมากที่สุดในการเริ่มสิ่งใหม่
ใครว่าการก้าวเข้าสู่วัยกลางคน 40-50 ปี จะต้องเป็นวิกฤติที่น่ากังวลเสมอไป? ผู้เชี่ยวชาญย้ำว่า “วัยกลางคน” ไม่ได้หมายถึงช่วงชีวิตที่โรยรา แต่กลับเป็นเวลาที่เหมาะที่สุดในการทบทวนเป้าหมายชีวิต สร้างเส้นทางใหม่ และค้นหาความหมายที่แท้จริงของการทำงานและการใช้ชีวิต
ดร.อาร์ต มาร์คแมน (Art Markman) นักจิตวิทยา ศาสตราจารย์ และผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนากระบวนการรู้คิด มหาวิทยาลัยเท็กซัสที่เมืองออสติน แนะนำให้เลิกมองวัยกลางคนเป็น “วิกฤติ” แต่ให้มองว่าเป็น “จังหวะชีวิตของการตั้งเป้าหมายใหม่” โดยทั่วไปในสหรัฐอเมริกาวัยกลางคนถูกกำหนดไว้ระหว่างอายุ 45-65 ปี และด้วยอายุขัยเฉลี่ยของผู้คนยุคนี้ที่ยืนยาวขึ้น ทำให้คนที่มีอายุ 40 ในสหรัฐฯ ทุกวันนี้ ยังสามารถใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้ยาวๆ อีกกว่า 40 ปี
นั่นหมายความว่า ชีวิตในช่วงวัยกลางคนยังไม่ใช่จุดสิ้นสุด แต่กลับเพิ่งเข้าสู่ช่วงที่เหมาะสมที่สุดในการวางแผนอนาคตใหม่ๆ ทั้งในแง่การทำงานและการใช้ชีวิต
วัยกลางคน 45+ มีความรู้และประสบการณ์ เหมาะจะเริ่มสิ่งใหม่ๆ มากที่สุด
ดร.มาร์คแมน ชี้ว่า วัยกลางคนเป็นช่วงเวลาที่มีศักยภาพสูงมากในการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เขาอธิบายว่า ในวัยนี้ผู้คนมักมีความรู้และประสบการณ์สะสมมาก ทำให้มีความฉลาดและการตัดสินใจที่ดีขึ้น แม้กระบวนการรับข้อมูลอาจช้าลงเล็กน้อย แต่ประโยชน์ของความรู้และประสบการณ์นั้นใหญ่กว่ามาก
Art Markman, Ph.D.
ผู้คนในวัยกลางคนยังมีเวลาใช้ชีวิตยาวนานต่อไปข้างหน้า จึงสามารถตั้งเป้าหมายใหม่ๆ ได้ และมักจะมีความรับผิดชอบทางครอบครัวที่น้อยลง และมีความคล่องตัวมากขึ้น (เมื่อเทียบกับวัย 30 ปีต้นๆ ที่เพิ่งสร้างครอบครัวใหม่) จึงทำให้วัยนี้เหมาะแก่การเริ่มต้นสิ่งใหม่หรือเปลี่ยนเส้นทางชีวิต
นักจิตวิทยาคนนี้บอกอีกว่า คนในวัยกลางคนสามารถใช้ความรู้ที่สะสมมาเพื่อจัดระเบียบความคิดและเชื่อมโยงข้อมูลต่างๆ ได้ดีขึ้น ซึ่งส่งผลให้การเรียนรู้สิ่งใหม่และการตัดสินใจมีประสิทธิภาพสูงกว่าวัยเด็กหรือวัยรุ่น ที่ต้องเน้นการเรียนรู้ใหม่อย่างรวดเร็ว
เขายังส่งเสริมให้คนในวัยนี้ใช้เวลาทบทวนชีวิตและตั้งเป้าหมายใหม่ เพื่อสร้างแรงจูงใจและความหมายในชีวิต แทนที่จะยึดติดอยู่กับเป้าหมายเดิมๆ ที่เคยตั้งไว้เมื่อวัยหนุ่มสาว
"เป้าหมายใหม่" ตัวช่วยเติมสีสัน สร้างแรงบันดาลใจให้ชีวิต
การมีอายุยืนยาวขึ้นและเวลาใช้ชีวิตอีกหลายสิบปี หากวัยทำงานเอาแต่ทำสิ่งเดิมๆ มาคตลอด นั่นอาจทำให้หมดไฟในการใช้ชีวิตและการทำงานได้ ดังนั้น การตั้งเป้าหมายใหม่ๆ ในช่วงวัยกลางคนจึงมีประโยชน์อีกอย่างก็คือ "เป็นตัวช่วยเติมสีสันให้กับชีวิตประจำวัน"
เนื่องจากการทำสิ่งเดิมซ้ำๆ มาหลายปี คุณอาจรู้สึกว่าชีวิตสั้นและเวลาผ่านไปเร็วเกินไป การตั้ง “หมุดหมายใหม่” เช่น การเรียนทักษะใหม่ๆ หรือเริ่มโปรเจกต์ที่ใฝ่ฝัน จึงช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้คุณตื่นขึ้นมาพร้อมความตื่นเต้น รู้สึกชีวิตกระชุ่มกระชวยในแต่ละวัน
อีกทั้งเมื่อเข้าสู่วัยกลางคน ภาระเลี้ยงดูครอบครัวจะเริ่มลดลง (ลูกๆ เริ่มโตและรับผิดชอบตัวเองได้) ภาระการเงินก็เริ่มเบาลง ทำให้คุณมีอิสระมากขึ้นในการเลือกว่าจะใช้เวลาและพลังงานไปกับสิ่งใด ช่วงเวลานี้เองคือโอกาสในการ “สร้างสิ่งใหม่” ที่ตอบโจทย์ตัวเองจริง ๆ
ดังนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรถ้าคุณพบว่า ตัวเองในวัยกลางคนเริ่มมองคุณค่าต่อสิ่งต่างๆ ในชีวิตเปลี่ยนไป ยกตัวอย่างเช่น แต่เดิมในช่วงวัยหนุ่มสาวคุณอาจเคยให้ความสำคัญกับความสำเร็จและการยอมรับจากสังคม แต่พอก้าวเข้าสู่วัยกลางคน คุณอาจหันมาให้คุณค่ากับการช่วยเหลือสังคม หรือการสร้างความหมายให้กับงานอดิเรกมากขึ้น นี่จึงเป็นเวลาที่เหมาะจะปรับเป้าหมายชีวิตและอาชีพ ให้สอดคล้องกับค่านิยมปัจจุบันในวัย 40-50 ปี
การเรียนรู้เชิงรุก-เปิดรับสิ่งใหม่ ช่วยปลุกพลังสมองให้ฉลาดขึ้น
เมื่อรู้แล้วว่า "วัยกลางคน" เป็นช่วงวัยที่มีคุณค่าและไม่ได้แย่ลงอย่างที่หลายคนเคยเข้าใจ แต่มากไปกว่านั้น ยิ่งเราเรียนรู้และเปิดใจต่อสิ่งใหม่ๆ รอบตัวมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งดีกับคุณภาพชีวิตวัยกลางคนมากขึ้นเท่านั้น สอดคล้องกับความเห็นของ ดร.มาร์กแมน และ ดร. บ็อบ ดู๊ค ศาสตราจารย์ด้านดนตรีและการเรียนรู้ของมนุษย์ ที่เน้นย้ำว่า การเรียนรู้เชิงรุก และการเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ คือ กุญแจสำคัญสู่ชีวิตที่ชาญฉลาดและมีความสุขในระยะยาว และต่อไปนี้คือคำแนะนำเพิ่มเติมสำหรับวัยกลางคน เพื่อชีวิตที่มีความสุขในระยะยาว
1. หากรู้สึกเวลาเดินเร็วกว่าเดิม ต้องรีบปักหมุดหมายใหม่:
เมื่อเราอายุมากขึ้นมักจะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วขึ้น ทั้งนี้เกิดจาก ชีวิตคนเราในวัยนี้มักจะซ้ำซากจำเจมากขึ้น และสมองก็ให้ความสนใจต่อการกระทำซ้ำๆ เดิมๆ น้อยลง แต่หากเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ สมองก็จะเกิดการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ กลายเป็น "หมุดหมาย" ที่น่าสนใจของชีวิต ทำให้เวลาช้าลง และรู้สึกสนุกตื่นเต้นในทุกวัน
2. สมองมีประสิทธิภาพ แต่เริ่มขี้เกียจ:
สมองของเราชอบทำในสิ่งที่เคยทำมาแล้ว เพราะมันจะรู้สึกว่า "มีประสิทธิภาพ" แต่พูดอีกนัยหนึ่งคือสมองเริ่ม "ขี้เกียจ" ดังนั้น การเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ จึงมักจะถูกต่อต้านในตอนแรก แต่หากก้าวข้ามความรู้สึกนี้ได้ มันจะนำไปสู่โอกาสมากมายที่เราคาดไม่ถึง ตัวอย่างเช่น เจมส์ ไดสัน (James Dyson) ผู้ประดิษฐ์เครื่องดูดฝุ่นไร้ถุง ที่ได้แรงบันดาลใจจากความรู้เรื่องโรงเลื่อยที่เขาเคยเรียนรู้เมื่อนานมาแล้ว โดยไม่รู้ว่าจะมีประโยชน์ในภายหลัง
3. ความรู้ที่หลากหลายคือพลัง:
ผู้ที่ประสบความสำเร็จมักจะ "รู้เยอะในหลายๆ เรื่อง" และเราไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่า ความรู้เรื่องไหนจะกลายเป็นกุญแจสำคัญในอนาคต ดังนั้น อย่ามัวเอาแต่อยู่ในเซฟโซน หรือหลีกเลี่ยงเส้นทางที่อาจจะมีปัญหา แต่จงเปิดรับการลองผิดลองถูกให้มากที่สุด
4. ยิ่งเรียนรู้สิ่งใหม่ ยิ่งส่งเสริมความทรงจำ:
แม้ว่าความสามารถในการจดจำของคนเรา จะเริ่มลดลงเมื่ออายุประมาณ 20 ปีขึ้นไป แต่การลดลงนี้เป็นไปอย่างช้าๆ แต่หากเรามัวไปกังวล กลัวว่าจะสมองเสื่อม นั่นกลับยิ่งทำให้ประสิทธิภาพการจำแย่ลงจริง วิธีแก้ไข คือ การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องจะช่วยสร้างการเชื่อมโยงใหม่ๆ ในสมอง ทำให้เรียกคืนความทรงจำได้ง่ายขึ้น
5. ไม่มีทางลัดสู่ความฉลาด:
การฟังเพลงของโมซาร์ทไม่ได้ทำให้คุณฉลาดขึ้น นักจิตวิทยายืนยันว่าคุณต้อง "ลงมือทำงานหนัก" เพื่อเรียนรู้ ไม่ใช่หาทางลัดให้ฉลาดเร็ว การเรียนรู้ที่ได้ผลจริงต้องใช้ความพยายาม การอ่านหรือรับชมอย่างเดียวเป็นการเรียนรู้แบบตั้งรับ แต่การเขียน การทำกิจกรรม หรือการสร้างสิ่งใหม่ๆ คือ "การเรียนรู้เชิงรุก" ที่แท้จริงเพราะสมองคนเราทำงานอยู่ตลอดเวลา
6. โอบรับความผิดพลาด ก้าวสู่ความสำเร็จ:
ดร. มาร์กแมน และ ดร. ดู๊ค ย้ำว่า การเรียนรู้ที่จะยอมรับและแก้ไขข้อผิดพลาด ทำให้เราฉลาดขึ้นในระยะยาว ผู้ประสบความสำเร็จมักจะเก่งในการระบุข้อบกพร่องของตนเองเพื่อนำไปปรับปรุง การอยู่ในวัฒนธรรมองค์กรที่มองความผิดพลาดเป็นการเรียนรู้ จะช่วยให้คุณกล้าที่จะยอมรับข้อบกพร่องของตนเองได้ง่ายขึ้น
7. การนอนหลับดี กุญแจสู่สุขภาพกายใจที่ยอดเยี่ยม:
การนอนหลับเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าที่คุณคิด ในขณะที่คุณหลับ สมองจะทำงานอย่างแข็งขันเพื่อ กำจัดสารพิษที่สะสมจากการใช้พลังงานในแต่ละวัน ทั้งยังเสริมสร้างความทรงจำที่สำคัญให้คงทนขึ้น ปรับปรุงทักษะการเรียนรู้ และยังช่วยลบความทรงจำเชิงลบเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวัน ผลกระทบทางอารมณ์จะจางหายไปขณะที่คุณหลับ ช่วยให้วันรุ่งขึ้นก้าวต่อไปในชีวิตได้
วัยกลางคนจึงไม่ใช่ “จุดจบ” แต่คือ “โอกาสครั้งใหญ่” ที่ช่วยให้คุณได้วางแผนใหม่ เริ่มสิ่งใหม่ และค้นหาความหมายของชีวิตในแบบที่ต้องการ เพราะเป็นช่วงที่ชีวิต มีองค์ความรู้และประสบการณ์สะสมมากอย่างพอเหมาะพอดีมากที่สุด ทำให้พร้อมที่จะตั้งเป้าหมายใหม่ พร้อมทั้งมีเวลามากพอที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายเหล่านั้นได้ ..เมื่อเส้นทางชีวิตยังอีกยาวไกล นี่อาจเป็นเวลาที่ดีที่สุดที่จะเริ่มเขียนบทใหม่ให้กับตัวเอง
อ้างอิง: Fastcompany, SuccessPodcast, WashingtonIndependent