กางแผน "LVMH" บุกสหรัฐฯ ท่ามกลางศึกภาษี
เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ LVMH กลุ่มสินค้าลักชัวรี่ยักษ์ใหญ่ของฝรั่งเศส ประกาศแผนเปิดโรงงานแห่งใหม่ในรัฐเท็กซัสภายในปี 2027 พร้อมแสดงความหวังว่าจะมีความคืบหน้าในเชิงบวกจากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปในเร็ววัน
การเคลื่อนไหวครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจาก LVMH รายงานยอดขายไตรมาสสองที่ต่ำกว่าคาด โดยเฉพาะในกลุ่มแฟชั่นและเครื่องหนังซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัท ที่ยอดขายลดลงร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับปีก่อน สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงร้อยละ 6 ขณะที่ยอดขายรวมในไตรมาสสิ้นสุดเดือนมิถุนายนลดลงร้อยละ 4 อยู่ที่ หรือประมาณ 22.95 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
อาร์โนลต์ เคยเปิดโรงงานผลิต Louis Vuitton แห่งแรกในเท็กซัสเมื่อปี 2019 ซึ่งช่วยให้บริษัทหลีกเลี่ยงผลกระทบจากมาตรการภาษีในสมัยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อย่างไรก็ตาม โรงงานดังกล่าวเคยถูกรายงานว่าประสบปัญหาด้านการดำเนินงานในหลายด้าน
เซซิล กาบานิส ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ LVMH แสดงความเชื่อมั่นว่าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และยุโรปจะนำมาซึ่งข่าวดีในไม่ช้า โดยระบุว่า หากการส่งออกไปสหรัฐฯ ต้องเผชิญอัตราภาษีที่ร้อยละ 15 ก็ยังถือเป็นผลลัพธ์ที่น่าพอใจในมุมมองของผู้บริโภค
ในขณะที่ตลาดจีนซึ่งเคยเป็นกำลังซื้อสำคัญกำลังชะลอตัวจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ แต่ LVMH ระบุว่ามีสัญญาณฟื้นตัวบางส่วน โดยร้าน Louis Vuitton แห่งใหม่ในเซี่ยงไฮ้ซึ่งมีรูปทรงคล้ายเรือขนาดยักษ์ ได้รับความสนใจอย่างมาก สะท้อนถึงพลังของแบรนด์ที่ยังคงแข็งแกร่ง
อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมสินค้าหรูยังคงเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยหลายด้าน ทั้งการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน อัตราเงินเฟ้อ และความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าระหว่างประเทศ
LVMH ยังเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากแบรนด์ระดับกลางที่ราคาย่อมเยาอย่าง Coach และ Ralph Lauren รวมถึงแบรนด์น้องใหม่ที่มีนวัตกรรมสูงอย่าง Miu Miu ของ Prada ขณะเดียวกันกระแสความสนใจต่อประเด็นสิทธิมนุษยชนในห่วงโซ่อุปทานของแบรนด์ Loro Piana ก็ยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อภาพลักษณ์ของกลุ่ม
ภายใต้สถานการณ์ท้าทาย อาร์โนลต์ ยังคงเน้นสร้างความมั่นคงภายในองค์กร โดยปรับทีมบริหารจากภายใน เช่น การโยกย้ายอดีตหัวหน้าฝ่ายการเงินมาเป็นผู้นำธุรกิจไวน์และสุรา และออกมาตรการให้ตนสามารถดำรงตำแหน่งผู้นำกลุ่มได้อีก 10 ปีข้างหน้า
ความสัมพันธ์ระหว่างอาร์โนลต์กับประธานาธิบดีทรัมป์ซึ่งมีมายาวนานตั้งแต่ยุคที่ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐฯ อาจมีส่วนสำคัญต่อการวางรากฐาน LVMH ในตลาดอเมริกาในระยะยาว โดยเฉพาะหากทรัมป์ได้รับเลือกตั้งกลับมาอีกครั้งในปีหน้า
ข่าวที่เกี่ยวข้อง