เดิมพันครั้งใหม่ "TESLA"หลังยอดขายดิ่ง
เทสลา เปิดตัวอย่างเป็นทางการในอินเดีย เมื่อกลางเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยเปิดโชว์รูมแห่งแรก ที่เรียกว่า Tesla Experience Center อยู่ภายในศูนย์การค้าที่ทันสมัยแห่งหนึ่งในนครมุมไม เมืองขนาดใหญ่ที่ประชากรในเขตเมืองมีอยู่ประมาณ 13 ล้านคน และเมื่อรวมกับประชากรในเมืองใกล้เคียง รวมเป็นจำนวนกว่า 23 ล้านคน ทั้งยังเตรียมจะเปิดตัวโชว์รูมแห่งที่สอง ในนิวเดลี เมืองหลวงของอินเดียในเร็ว ๆ นี้ รวมถึง เปิดให้จองซื้อรถยนต์ โดยรถรุ่นที่เทสลา นำเสนอในตลาดนี้ คือ โมเดล วาย รุ่นปรับโฉมใหม่ ซึ่งเป็นการนำเข้าจากจีน
ซึ่งตามเว็บไซต์ของ เทสลา อินเดีย ระบุว่า รถรุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง จะมีราคาเริ่มต้น อยู่ที่ 6 ล้าน 1 แสน รูปี หรือเกือบ ๆ 70,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ และ จะเริ่มส่งมอบได้ตั้งแต่ปลายไตรมาส 3 ปีนี้ เป็นต้นไป ราคาดังกล่าว สูงกว่าตลาดหลักอื่น ๆ ที่จำหน่ายในรุ่นเดียวกัน เช่น ที่สหรัฐอเมริกา ราคาขายเริ่มต้นอยู่ที่ 44,900 ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นราคาก่อนหักภาษีและค่าธรรมเนียม
ส่วนในจีน จำหน่ายอยู่ที่ราคา 263,500 หยวน หรือประมาณ 36,700 ดอลลาร์สหรัฐฯ และที่เยอรมนี จำหน่ายในราคา 45,970 ยูโร หรือประมาณ 53,700 ดอลลาร์สหรัฐฯ
ราคาจำหน่ายที่อินเดีย หากคิดเป็นเงินบาท จะมากกว่า 2 ล้าน 2 แสนบาท ซึ่งสูงกว่าเมื่อเทียบกับ โมเดล วาย รุ่นที่มีวางจำหน่ายในไทย ซึ่งในไทย ราคาเริ่มต้นอยู่ที่กว่า 1 ล้าน 6 แสนบาท ซึ่งเป็นผลมาจากกำแพงภาษีที่ รัฐบาลอินเดีย กำหนดภาษีนำเข้าในอัตราสูงสำหรับรถยนต์นำเข้า และสินค้าฟุ่มเฟือยอื่น ๆ
แต่นั่นก็ทำให้ เทสลา อินเดีย แทนที่จะแข่งขันโดยตรงกับบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศอย่าง Tata Motors และ Mahindra กลายเป็นว่า ต้องแข่งขันกับกลุ่มรถยนต์พรีเมียม ทั้ง BMW Mercedes-Benz และ Kia จาก เกาหลีใต้ แทน
ด้าน ยาฮู ไฟแนนซ์ รายงานว่า เทสลากำลังเดิมพันกับตลาดรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก (ในแง่ของยอดขาย) แต่ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศนี้ ยังมีสัดส่วนไม่มากนัก เพียงร้อยละ 4 เท่านั้น ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด
ขณะที่รายได้เฉลี่ยต่อปีของประชากรอยู่ที่ประมาณ 4,000 ดอลลาร์ แต่เทสลา มีความคาดหวังในการลดภาษีในอนาคต และการเติบโตของชนชั้นกลาง ซึ่งถือเป็นกุญแจสำคัญในการขยายตลาดนี้
โดยการเติบโตในอินเดียเป็นไปอย่างก้าวกระโดด ซึ่งองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ OECD คาดการณ์ว่า ประชากรของอินเดียจะเพิ่มขึ้นเกือบ 1,700 ล้านคนภายในปี 2050 สวนทางกับจีน ที่คาดว่าจะมีประชากรลดลง
แต่ประชากรส่วนใหญ่ของอินเดียยังคงอาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบท และอัตราการมีส่วนร่วมในแรงงานต่ำ แต่โครงสร้างกำลังมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนไป โดยชนชั้นกลางที่กำลังเติบโต จะเข้ามาแทนที่ จะทำให้การมีส่วนร่วมในตลาดแรงงานจะเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของชนชั้นกลาง
ด้านองค์กรวิจัยเชิงประชากรเกี่ยวกับเศรษฐกิจการบริโภคของอินเดีย คาดการณ์ว่าภายในปี 2030 อินเดียจะมีชนชั้นกลางเพิ่มขึ้นประมาณ 75 ล้านครัวเรือน และครัวเรือนที่มีฐานะร่ำรวย จะเพิ่มขึ้น 25 ล้านครัวเรือน ซึ่งรวมกัน จะคิดเป็นร้อยละ 56 ของจำนวนครัวเรือนทั้งหมดของประเทศ
จากข้อมูลดังกล่าว กำลังชี้ให้เห็นถึงตลาดที่กำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนักสำหรับเทสลา เพราะอินเดีย ให้ความสำคัญกับภาษีนำเข้า เพื่อกระตุ้นภาคการผลิตและการลงทุนในประเทศเป็นหลัก
เกี่ยวกับการบุกตลาดอินเดียของ เทสลา ยังมีมุมมองอื่น ๆ อีก เช่น วิเวก ไวทยา หัวหน้าฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ด้านรถยนต์ระดับโลก จากบริษัทวิจัย ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิวัน กล่าวกับ ซีเอ็นบีซี บอกว่า แม้ราคารถเทสลา อาจจะดูแพงสำหรับหลายคน แต่ในอินเดียยังมีกลุ่มลูกค้าที่พร้อมจะซื้ออยู่ดี แต่เชื่อว่า เทสลา จะไม่สามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มรถยนต์ระดับแมสได้ เพราะรถที่ขายดีที่สุดในตลาดส่วนใหญ่มักมีราคาต่ำกว่า โมเดล วาย ที่จำหน่ายในอินเดียเป็น 10 เท่า
ส่วน ปูนีต กุปตา (Puneet Gupta) ผู้อำนวยการฝ่ายตลาดยานยนต์อินเดีย จาก S&P Global Mobility เชื่อว่า ขณะนี้ เทสลา กำลังมุ่งเน้นไปที่การทดลองตลาด มากกว่าการสร้างยอดขาย
โดยอินเดีย ประกาศนโยบายรถยนต์ไฟฟ้าฉบับใหม่เมื่อปีที่แล้ว และเน้นส่งเสริมการลงทุนภายในประเทศ เพื่อแลกกับการลดภาษีนำเข้า ซึ่งนโยบายดังกล่าวนี้ อาจช่วยให้ เทสลา จำหน่ายในราคาถูกลงได้ แต่จนถึงปัจจุบัน เทสลา ยังไม่แสดงท่าที หรือการให้คำมั่นว่าจะสร้างโรงงานผลิตในอินเดีย
ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวถึงแผนการลงทุนในอินเดีย แต่เทสลา ได้มีการยุติแผนดังกล่าวไปแล้ว
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์จาก เอสแอนด์พี ระบุอีกว่า ภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าของอินเดียอาจเปลี่ยนแปลงในเร็วๆ นี้ ซึ่งจะเป็นผลมาจากการเจรจาการค้า ทวิภาคี ระหว่าง สหรัฐฯ และอินเดีย
ด้านรอยเตอร์ส รายงานว่า เทสลากำลังเผชิญกับกำลังการผลิตส่วนเกินในโรงงานทั่วโลก และยอดขายที่ลดลง จึงได้ใช้กลยุทธ์การขายรถยนต์นำเข้า ในตลาดอินเดีย แม้จะมีภาษีและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ อยู่ในระดับสูงก็ตาม
ซึ่งที่ผ่านมาผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติอเมริกันรายนี้ ได้ล็อบบี้อินเดียมาเป็นเวลานานเพื่อให้ลดภาษีนำเข้ารถยนต์
และปัจจุบัน ตัวแทนของของนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี ของอินเดีย ยังคงเจรจากับรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อลดภาษีภายใต้ข้อตกลงการค้าทวิภาคี (ที่เวลานี้ ยังไม่มีข้อสรุป)
ล่าสุด เทสลา รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ปี ของปีนี้ ออกมา ซึ่งรายได้จากยานยนต์โดยรวมอยู่ที่กว่า 16,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 16 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มียอดขาย 19,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ และยังเป็นรายได้ที่ลดลงเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน และก่อนหน้านี้ เทสลา รายงานยอดขายรถยนต์ทั่วโลกอยู่ที่ 384,000 คัน คิดเป็นลดลงร้อยละ 14 เมื่อเทียบเป็นรายปี
ซึ่งภาวะตกต่ำของเทสลาในปีนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลพวงมาจากกระแสต่อต้านบริษัทฯ ในสหรัฐอเมริกา และยุโรป หลังจากที่ อีลอน มัสก์ ซีอีโอ ได้ทุ่มเงินมหาศาลเพื่อช่วย ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งครั้งที่ 2 รวมไปถึงการสนับสนุนพรรค AfD ที่่ต่อต้านผู้อพยพอย่างรุนแรงในเยอรมนี และยังเผชิญกับกระแสต่อต้าน จากการเป็นผู้นำในหน่วยงานประสิทธิภาพ หรือ DOGE ของรัฐบาลทรัมป์ ที่มีการปลดเจ้าหน้าที่รัฐเป็นจำนวนมาก
นั่นทำให้ ราคาหุ้นของ เทสลา ลดลงไปประมาณร้อยละ 18 ตั้งแต่ต้นปีจนถึงเมื่อวันพุธที่ผ่านมา และยังถือว่าเป็นเป็นผลประกอบการที่ย่ำแย่ที่สุดในกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ในขณะที่ดัชนี Nasdaq ปรับเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 9 ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง