BDMS Wellness Clinic ชะลอ ‘สัญญาณร่วงโรย’ หนุนไทยสู่ Wellness Country
“เกิด แก่ เจ็บ ตาย” เป็นสัจธรรมของชีวิตที่ใครๆ ก็ต้องพบเจอ แต่ในปัจจุบันหลายๆ คนมักจะเลี่ยงไม่ให้ตัวเองแก่ เจ็บ หรือตาย ด้วยการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน และนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าหลายอย่าง การดูแลสุขภาพเชิงเวลเนส จึงเป็นทางออกในการดูแลสุขภาพที่มุ่งเน้นการดูแลให้มี Healthy Lifestyle หรือการใช้ชีวิตประจำวันที่ดีต่อสุขภาพและมีความสุขอย่างยั่งยืน ไม่ใช่แค่การรักษาเพื่อให้รู้สึกดีขึ้น
ปัจจุบัน “ธุรกิจเวลเนส” ทั่วโลกเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงถึง 6.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปี 2566 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปี 2571 ซึ่ง Global Wellness Institute คาดว่า เศรษฐกิจเวลเนส จะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง 7.3 % ทุกปี เป็นอัตราการเติบโตที่สูงกว่า การเติบโตของ GDP โลก (4.8%) ตามการคาดการณ์ล่าสุดของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)
ส่วน ตลาดเวลเนสไทย พบว่า ปัจจุบันประเทศไทยติดอันดับที่ 24 ของโลกและอันดับที่ 9 ในเอเชียแปซิฟิกในด้านเศรษฐกิจเวลเนส และในปี 2566 ไทยเป็น อันดับ 1 ของโลกในด้านอัตราการเติบโตของธุรกิจเวลเนสที่ 28% โดยไทยมีศักยภาพในการเป็น Wellness Hub ระดับโลก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ดันไทยเป็นศูนย์กลาง 'เวลเนสฮับ' ดึงนักท่องเที่ยวพรีเมี่ยม
BDMS Wellness Clinic พลิกโฉมอีสาน! สู่ศูนย์กลางสุขภาพโลก
ปัจจัยหนุน‘ธุรกิจเวลเนส’โต
“หมอแอมป์ นพ.ตนุพล วิรุฬหการุญ” ประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก และ บีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ท บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ถึงการเติบโตของธุรกิจเวลเนส ซึ่งจะเป็นเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจตัวใหม่ของประเทศไทยว่าธุรกิจเวลเนส มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะคนในปัจจุบันไม่อยากแก่ ไม่อยากเจ็บ โดยมี 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่
1.การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) การดูแลสุขภาพที่ดีจึงกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนให้ความสำคัญ เพื่อเลี่ยงภาวะ Unhealthy Aging Society หรือสังคมผู้สูงอายุที่ต้องเจ็บป่วย
2.โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs)โรคที่เกิดจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น โรคอ้วน เบาหวาน และความเครียด เป็นสาเหตุการเสียชีวิตของคนไทยถึง 77% การป้องกันก่อนเกิดโรคจึงเป็นสิ่งสำคัญมากกว่าการรักษา ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของเวลเนส
3.ผลกระทบจากโควิด-19 ที่เป็นตัวเร่งให้คนหันมาใส่ใจสุขภาพอย่างจริงจัง เนื่องจากผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคอ้วน หัวใจ เบาหวาน มีความเสี่ยงสูงที่จะเสียชีวิตจากโควิด-19
Medical Hub สู่ Wellness Hub
“การแก่ในอดีตยังไม่สามารถหาต้นเหตุได้ และถูกมองว่าเป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่เมื่อทางการแพทย์มีความก้าวหน้า และมียาปฎิชีวนะ ทำให้คนเรารู้ต้นเหตุและปัจจัยความแก่ชรา ว่ามาจากสเต็มเซลล์ขี้เกียจ เทโลเมียร์สั้น หรือโพรไบโอติกไม่ดี และตัวกระตุ้นที่ทำให้เป็นโรคหรือไม่เป็นโรค คือ พันธุกรรม ทำให้ตอนนี้คนไทยชอบตรวจยีนมากขึ้น ซึ่งตรวจหนึ่งครั้งสามารถป้องกันโรคได้ พันธุกรรมจึงเป็นสิ่งที่รู้ดีกว่าไม่รู้ และหากรู้แล้วจะช่วยป้องกันโรค หรือความเสี่ยงโรคได้” นพ.ตนุพล กล่าว
นอกจากนั้น สิ่งแวดล้อม และไลฟ์สไตล์ ที่เกิดจากการกระทำของตนเอง ถ้าไม่อยากป่วยต้องป้องกันก่อนเกิดโรค ปรับพฤติกรรม วิถีชีวิตให้ดี เพื่อให้รอดจากโรคภัยไข้เจ็บ หรือ NCDs 70%
ต้องให้ความสำคัญกับ Health Span
นพ.ตนุพล มองว่าอีกจุดแข็งของไทย คือ การแพทย์และบุคลากรที่เก่ง มีความเชี่ยวชาญ และเข้มแข็ง ,สมุนไพรและนวดไทยซึ่งเป็นที่นิยมในต่างประเทศและสามารถเพิ่มมูลค่าได้ด้วยการนำวิทยาศาสตร์การแพทย์เข้าไปเสริม รวมถึงการบริการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้คน โดยนักท่องเที่ยวเวลเนสมักมองหาประสบการณ์ที่ครอบคลุม ทั้งด้านอาหารสุขภาพ การทำกิจกรรมเพื่อสุขภาพ การทำสมาธิ ซึ่งประเทศไทยมีความพร้อมในทุกด้าน
“ผู้คนในปัจจุบันให้ความสำคัญกับ Health Span (อายุที่มีสุขภาพดี) มากกว่า Life Span (อายุขัยเฉลี่ย) โดยเฉลี่ยแล้วทั่วโลกมี Health Span เพียง 63 ปี ในขณะที่ Life Span อยู่ที่ 73 ปี ซึ่งหมายความว่าคนเราต้องทนทุกข์ทรมานจากปัญหาสุขภาพ 10 ปีก่อนเสียชีวิต เป้าหมายของเวลเนส คือการทำให้ทั้งสองตัวเลขเท่ากัน เพื่อให้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดี เสียชีวิตอย่างสงบ”ประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก กล่าว
ต่างชาตินิยมดูแลสุขภาพเวลเนสไทย
นพ.ตนุพล กล่าวด้วยว่าผู้มาใช้บริการที่ BDMS ส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติประมาณ 60% และชาวไทย 40% ซึ่งในกลุ่มชาวต่างชาติ 60% นั้น 50% จะเป็นกลุ่มชาวตะวันออกกลาง อย่าง อาหรับ ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว และ10% จะมาจากกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) ยุโรป และอเมริกา ส่วนชาวจีนมาใช้บริการลดลง เนื่องจากจีนสามารถให้บริการด้านนี้ได้เองและมีการเบิกจ่ายได้ฟรีในบางมณฑล
“นักท่องเที่ยวมาไทยเพื่อดูแลสุขภาพแบบองค์รวม (wellness) ไม่ใช่แค่การรักษาโรคเท่านั้น พวกเขาเชื่อว่าการมาประเทศไทยคือการ "ซื้อชีวิต" ให้มีสุขภาพดีและอายุยืนยาวขึ้น เพราะผลการตรวจเลือดและสุขภาพแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการที่ดีขึ้นชาวต่างชาติ”นพ.ตนุพล กล่าว
โดยจะนิยมการตรวจสุขภาพและปรึกษาแพทย์อย่างละเอียด การตรวจพันธุกรรม พร้อมทั้งใช้บริการกิจกรรมเวลเนสต่างๆ เช่น สปา, นวดไทย, มวยไทย, โยคะ, ไทเก๊ก ควบคู่กับการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ ,ทันตกรรมเวลเนส (Dental Wellness) และการท่องเที่ยวเชิงพุทธ การนั่งสมาธิและล้างพิษทางจิตใจที่ได้รับความนิยมอย่างมาก
เป้าหมายของ BDMS Wellness
ประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก กล่าวอีกว่าธุรกิจ Wellness ของ BDMS อยู่ที่ประมาณ 11% ของรายได้ทั้งหมด มีบุคลากรทางการแพทย์ด้านเวลเนส ประมาณ 100 คน ซึ่งถือว่ายังน้อยเมื่อเทียบกับความต้องการของตลาด และมีการบริการที่ครอบคลุมในทุกด้าน ตั้งแต่การตรวจพันธุกรรม (Genetic Testing) การให้คำแนะนำด้านโภชนาการ การออกกำลังกาย การจัดการความเครียด
พร้อมทั้งมีการนำเทคโนโลยีทันสมัยมาใช้ เช่น การฝังเซ็นเซอร์ตรวจน้ำตาลกลูโคส การบริการตรวจเชิงลึก อย่าง การตรวจยีน, การตรวจฮอร์โมน, และการตรวจวัดระดับความเครียด เพื่อวางแผนดูแลสุขภาพให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ที่สำคัญมีการพัฒนาบุคลากรด้านเวลเนส อย่างต่อเนื่อง โดยร่วมมือกับกรมอนามัยและคณะแพทยศาสตร์นานาชาติ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในการผลิตแพทย์ด้านเวลเนสเฉพาะทาง
“การผลักดันธุรกิจเวลเนสต้องเป็นความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ซึ่ง BDMS ฐานะหนึ่งในผู้นำ ได้วางกลยุทธ์การขับเคลื่อนในหลายมิติ ทั้งการลงทุนในเทคโนโลยีด้านการแพทย์และการพัฒนาคน รวมถึงยกระดับผลิตภัณฑ์และบริการที่มีความหลากหลาย และมุ่งเป็นBrand Ambassador ให้กับประเทศ เพื่อประชาสัมพันธ์ศักยภาพด้านเวลเนสของประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักทั่วโลก”นพ.ตนุพล กล่าว
อัพบริการเวลเนสด้วยแพทย์สมัยใหม่
แม้อนาคตของเวลเนสในประเทศไทยจะมีทิศทางที่สดใสและมีศักยภาพในการเป็นเครื่องยนต์สำคัญพร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่ก็ยังมีความท้าทายในหลายมิติ “นพ.ตนุพล” อธิบายต่อไปว่าเรายังคงขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ด้านนี้ ซึ่งจำนวนแพทย์และบุคลากรมีไม่เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่าง BDMS มีแพทย์เฉพาะทางด้านเวลเนส เพียง 100 คน จากแพทย์ทั้งหมด 15,000 คน
อีกทั้ง ความไม่สอดคล้องของนโยบายรัฐ ซึ่งนโยบายของภาครัฐยังไม่ต่อเนื่องและไม่มีความชัดเจนในการผลักดันประเทศไทยให้เป็น Wellness Country ส่วนประชาชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพแบบเวลเนสมากขึ้น แต่ยังมีคนอีกจำนวนมากละเลยการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน และหลงเชื่อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์
“ที่สำคัญยังไม่มีการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์และบริการเวลเนส โดยเฉพาะสมุนไพรไทย ยังขาดการสนับสนุนอย่างเป็นระบบจากภาครัฐ ควรมีหน่วยงานแบบ One-Stop Service สำหรับการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงควรยกระดับบริการเวลเนสด้วยวิทยาศาสตร์ ต้องมุ่งเน้นการผสมผสานการแพทย์สมัยใหม่เข้ากับภูมิปัญญาไทยดั้งเดิม เพื่อส่งเสริมให้บริการเวลเนสมีมูลค่าสูงขึ้น น่าเชื่อถือมากขึ้น และต้องมีการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ของไทยในฐานะ Wellness Country โดยคนในประเทศต้องมีสุขภาพที่ดี มีคุณภาพชีวิตที่ดี”นพ.ตนุพล กล่าว