สหรัฐฯ ขยายขอบเขตภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม กระทบสินค้าเด็กและอุตสาหกรรม
สหรัฐฯ ได้ขยายขอบเขตภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม ซึ่งส่งผลกระทบต่อสินค้าอีกหลายร้อยรายการที่มีส่วนผสมของโลหะ รวมทั้งสินค้าสำหรับเด็ก
โรงงานผลิตของ United States Steel Corporation ซึ่งเป็นบริษัทเหล็กสัญชาติอเมริกัน (Photo by Drew Angerer / GETTY IMAGES NORTH AMERICA / Getty Images via AFP)
เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันอังคารที่ 19 สิงหาคม 2568 กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯประกาศขยายขอบเขตภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม ซึ่งส่งผลกระทบต่อสินค้าอีกหลายร้อยรายการที่มีส่วนผสมของโลหะ เช่น เบาะนั่งเด็ก, เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร และอุปกรณ์หนัก
สำนักงานอุตสาหกรรมและความมั่นคง (Bureau of Industry and Security) ระบุในประกาศฉบับล่าสุดว่า กำลังเพิ่มประเภทสินค้า 407 ประเภท เข้าไปในรายการสินค้าที่ถือเป็น "ผลิตภัณฑ์อนุพันธ์" ของเหล็กและอะลูมิเนียม
ซึ่งหมายความว่าภาษีนำเข้าโลหะทั้งสองชนิดที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กำหนดไว้เมื่อต้นปีนี้ จะถูกเรียกเก็บในอัตรา 50% จากเหล็กและอะลูมิเนียม
ขอบเขตภาษีที่เพิ่มขึ้นนี้มีผลบังคับใช้ในวันจันทร์ และประกาศรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้รับการเผยแพร่ใน Federal Register เมื่อวันอังคาร
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ แถลงว่า "มาตรการในวันนี้ครอบคลุมถึงกังหันลมและส่วนประกอบ, เครนเคลื่อนที่, รถปราบดินและอุปกรณ์หนักอื่นๆ, รถราง, เฟอร์นิเจอร์, คอมเพรสเซอร์และปั๊ม และผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกหลายร้อยรายการ"
"ความเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นไปเพื่อปิดกั้นช่องทางการหลบเลี่ยงภาษี" เจฟฟรีย์ เคสส์เลอร์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ด้านอุตสาหกรรมและความมั่นคงกล่าว พร้อมย้ำถึงเป้าหมายในการส่งเสริมอุตสาหกรรมเหล็กและอะลูมิเนียมของสหรัฐฯ
นับตั้งแต่กลับเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ทรัมป์ได้กำหนดภาษีนำเข้า 10% กับคู่ค้าทางการค้าเกือบทั้งหมดของสหรัฐฯ ควบคู่ไปกับการกำหนดอัตราภาษีที่สูงขึ้นในหลายประเทศ เช่น สหภาพยุโรปและญี่ปุ่น
บางภาคส่วนได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าทั่วประเทศ แต่กลับตกเป็นเป้าหมายภายใต้หน่วยงานอื่นด้วยภาษีที่สูงขึ้นกว่าเดิม
ในกรณีของเหล็กและอลูมิเนียม ทรัมป์ประกาศใช้ภาษีนำเข้าโลหะทั้งสองชนิดที่ 25% ในเบื้องต้น ก่อนที่จะเพิ่มสองเท่าเป็น 50% ในเดือนมิถุนายน
แม้ว่าผลกระทบของภาษีทรัมป์ต่อราคาผู้บริโภคจะยังจำกัดอยู่ในขณะนี้ แต่นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่ายังไม่เห็นผลกระทบอย่างเต็มที่
ในขณะนี้ ธุรกิจบางแห่งรับมือโดยการเร่งซื้อสินค้าที่คาดว่าจะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้า ในขณะที่ธุรกิจอื่นๆ ได้ผลักภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมให้กับผู้บริโภค หรือรับภาระภาษีนำเข้าบางส่วน
แต่นักวิเคราะห์ตั้งข้อสังเกตว่าผู้นำเข้าและผู้ค้าปลีกไม่น่าจะสามารถแบกรับต้นทุนเหล่านี้ได้อย่างไม่มีกำหนด และในที่สุดอาจเพิ่มราคาผู้บริโภคขึ้นอีก
นักเศรษฐศาสตร์บางคนโต้แย้งว่าผลกระทบจากเงินเฟ้อจะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว แต่บางคนก็กังวลถึงผลกระทบที่ต่อเนื่องยาวนานกว่า.