"แบรนด์เนมมันนี่" โตสวนเศรษฐกิจ คนรวยแห่ใช้แบรนด์เนม ค้ำสินเชื่อ
นายปพน มนัสภากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้งบริษัท แบรนด์เนม มันนี่ จำกัด เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า แม้หลายภาคส่วนของเศรษฐกิจจะชะลอตัว แต่ตลาดสินค้าแบรนด์เนมในประเทศไทยยังคงมีมูลค่ามหาศาล จากข้อมูลของ Brandname Money ตลาดรวมสินค้าแบรนด์เนมทั้งมือหนึ่งและมือสองในปี 2567 มีมูลค่าสูงถึง 2 แสนล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพและกำลังซื้อของคนไทยที่ยังคงให้ความสำคัญกับสินค้าหรูหรา แม้ในสถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย
ในระดับโลก ตลาดสินค้าหรูมือสอง (Luxury Resale Market) กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว คาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าถึง 6.055 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2572 เติบโตเฉลี่ย 10% ต่อปี แรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากการเพิ่มขึ้นของกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ (Millennials และ Gen Z) ที่มองหาความคุ้มค่าและความยั่งยืนมากขึ้น สินค้ากลุ่มเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับยังคงเป็นกลุ่มหลักในตลาดมือสอง โดยแพลตฟอร์มออนไลน์มีบทบาทสำคัญคิดเป็นสัดส่วนกว่า 60% ของช่องทางการจัดจำหน่าย
“การเติบโตของบริษัทนับเป็นภาพสะท้อนที่สวนทางกับภาวะเศรษฐกิจซบเซาอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะบริการสินเชื่อแบบ "ขายฝาก" ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงจากกลุ่มคนมีกำลังซื้อที่ต้องการสภาพคล่องอย่างเร่งด่วนด้วยบริการสินเชื่อที่ใช้สินค้าแบรนด์เนมเป็นหลักประกัน ชี้ชัดคนมีกำลังซื้อยังคงต้องการสภาพคล่องในยุคที่ความไม่แน่นอนสูง”
นายปพน กล่าวว่า หลังเปิดตัวบริษัทได้ 1 ปี สามารถทำยอดสินเชื่อรวมได้เกือบ 200 ล้านบาท ซึ่งเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก แสดงให้เห็นถึงดีมานด์ที่ซ่อนอยู่ในกลุ่มคนมีกำลังซื้อสูงที่ต้องการสภาพคล่องเร่งด่วน แบ่งสัดส่วนรายได้เป็น ขายฝาก (Pawn/Consignment Loan) 150 ล้านบาท เช่าซื้อ (Leasing) 30 ล้านบาท สำหรับลูกค้าที่ต้องการผ่อนชำระสินค้าแบรนด์เนมแบบใช้ไปได้ทันที เสมือนการผ่อนรถยนต์
โดยมีระยะเวลาสูงสุด 3 ปี และดาวน์เริ่มต้นเพียง 30% พร้อมดอกเบี้ยต่ำเพียง 0.99% ต่อเดือน หรือประมาณ 12% ต่อปี (Flat Rate) และผ่อนจบรับของ (Layaway/Installment Plan) 20 ล้านบาท สำหรับลูกค้าที่สั่งจองสินค้าแบรนด์เนมราคาสูงไว้ แต่ยังไม่มีเงินก้อนครบ เมื่อสินค้ามาถึง สามารถนำมาทำสัญญาผ่อนชำระกับบริษัทได้สูงสุด 10 เดือน โดยลูกค้าจะได้รับสินค้าเมื่อผ่อนชำระครบตามกำหนด
อย่างไรก็ดี โอกาสของตลาดแบรนด์เนมมือสองและการใช้แบรนด์เนมมากู้สินเชื่อนั้น เมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว ผู้ประกอบการและบุคคลทั่วไปที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียนเร่งด่วน มักมองหาทางเลือกในการแปลงสินทรัพย์ที่มีค่าให้เป็นเงินสด การนำสินค้าแบรนด์เนมมาเป็นหลักประกันจึงเป็นทางออกที่รวดเร็วและสะดวก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่อาจเข้าไม่ถึงสินเชื่อธนาคาร หรือไม่ต้องการขายสินทรัพย์ที่รักทิ้งไป และอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรมและถูกกฎหมาย โดยมีอัตราดอกเบี้ย 1.25% ต่อเดือน หรือ 15% ต่อปี ซึ่งถูกกว่าแหล่งเงินกู้นอกระบบที่อาจเรียกเก็บสูงถึง 5-10% ต่อเดือน (หรือ 60-120% ต่อปี) ความเป็นธรรมและโปร่งใสนี้ดึงดูดลูกค้าที่ต้องการหลีกเลี่ยงภาระดอกเบี้ยมหาศาล
ขณะที่กลุ่มลูกค้ามีทั้งพนักงาน First Jobber ที่มีเงินเดือน 2 หมื่นบาทขึ้นไป จนถึงเจ้าของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) และเจ้าของกิจการที่มีมูลค่าหลักร้อยล้านบาท ลูกค้าเหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในกรุงเทพฯ แต่ครอบคลุมทุกจังหวัด สะท้อนถึงกำลังซื้อในระดับภูมิภาค