ศาลรัฐธรรมนูญ สั่ง "พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน" พ้นสภาพ สส.-รองประธานสภาฯ ตัดสิทธิ์ 10 ปี
ศาลรัฐธรรมนูญ สั่ง "พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน" ผิด ม.144 เซ่นปมแปรงบลงพื้นที่เชียงราย พ้นสภาพ สส.-รองประธานสภาฯ ทันที พร้อมทั้งเพิกถอนสิทธิ์สมัครเลือกตั้ง 10 ปี
เมื่อวันที่ 1 ส.ค. เวลา 15.00 น. ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติชี้ว่า นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่ง พ้นจากตำแหน่งรองประธานสภาฯ และตำแหน่ง สส. นับแต่วันที่ศาลมีคำวินิจฉัยวันที่ 1 ส.ค. 2568 และเพิกถอนสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้ง 10 ปี
ด้วยนายพิเชษฐ์มีส่วนโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 และปี 2569 อันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคสอง ซึ่งศาลได้อ้างอิงคำเบิกความของพยาน 9 ปากที่เกี่ยวข้อง ที่ดำเนินการเกี่ยวกับการเสนอของงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 สืบเนื่อง และชี้เห็นถึงการใช้จ่ายงบประมาณปี 2569 ที่มีความต่อเนื่อง
ศาลวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานมีน้ำหนักรับฟังได้ว่านายพิเชษฐ์เห็นชอบให้อนุมัติสั่งการเสนอ หรือแปรญัตติโครงการ 3 ซึ่งเป็นโครงการที่จะทำขึ้นเพื่อให้ สส. หรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการดำเนินการนำไปสู่การคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการโดยมุ่งเน้นดำเนินการในเขตเลือกตั้ง 7 จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นเขตเลือกตั้งของนายพิเชษฐ์
และรูปแบบการดำเนินการของโครงการดังกล่าวในปี 2569 จะดำเนินการรูปแบบเดียวกันกับงบประมาณปี 2568 เป็นโครงการต่อเนื่องทำให้มีพฤติกรรมหรือการกระทำมีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการทั้ง 3 ซึ่งเป็นการใช้อำนาจในสถานะรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่ง ที่เจตนาใช้งบหาเสียงและสร้างความนิยมให้แก่ตนเอง ในเขตเลือกตั้งของตน และทำให้พรรคการเมืองที่ตนเองสังกัด ได้รับผลประโยชน์ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
Facebook / ดร.พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน
หลังจากศาลรัฐธรรมนูญได้อ่านคำวินิจฉัย โดยไล่เลียงไทม์ไลน์ตั้งแต่ที่นายพิเชษฐ์ได้เป็น สส.เขต 5 จังหวัดเชียงราย และได้รับเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง ก่อนขยับขึ้นดำรงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่ง
และไล่เรียงไทม์ไลน์พฤติกรรมการเข้าไปมีส่วนร่วมเกี่ยวกับงบประมาณรายจ่ายของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 3 โครงการ ย่อมเป็นการกระทำที่เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์สาธารณะ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 185 ซึ่ง สส.ห้ามใช้สถานะกระทำการใดอันมีลักษณะก้าวก่ายหรือแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเองหรือของผู้อื่นหรือของพรรคการเมือง
ตามคำร้องของนายภัณฑิล น่วมเจิม สส.กทม.พรรคประชาชน และคณะ สส. ของพรรค จำนวน 121 คน ยื่นร้องต่อศาล วินิจฉัยว่า นายพิเชษฐ์ เป็นผู้ให้ความเห็นชอบการจัดทำโครงการและให้มีการเสนองบประมาณของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 3 โครงการ คือ
- การพัฒนาศักยภาพประชาชนและเยาวชนการปกครองระบอบประชาธิปไตย
- โครงการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นระบบ
- ของการเสริมบทบาทสตรีในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ในวงเงินงบประมาณ 347 ล้านบาท โดยได้รับการจัดสรรทั้งสิ้น 178 บาท ซึ่งเป็นโครงการในรูปแบบให้การช่วยเหลือให้ทุนประชาชนจากโครงการที่นำเสนอใช้จ่ายงบประมาณ 440 โดยมี 298 โครงการ ที่ได้จัดขึ้นในเขตเลือกตั้งที่ 7 จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นเขตเลือกตั้งของพิเชษฐ์ โดยการดำเนินการในการใช้งบประมาณจากโครงการนั้นต้องผ่านความเห็นชอบจากรกรรมการบริหารโครงการในขณะนั้น ซึ่งมีพิเชษฐ์เป็นกรรมการอยู่ด้วย
แม้จะเป็นการใช้งบประมาณปี 2568 แต่โครงการดังกล่าวถูกเสนอในปีงบประมาณ 2569 ยังคงมีหลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์ ระยะเวลาดำเนินโครงการ เป้าหมาย ผลลัพธ์และผลกระทบโครงการ ตามแผนใช้จ่ายงบประมาณ รูปแบบจัดกิจกรรม รายละเอียดงบประมาณและค่าใช้จ่ายเหมือนกัน
ทั้งนี้ ในการฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้ ผู้ร้อง คือ นายภัณฑิต เดินทางมาฟังคำวินิจฉัยด้วยตัวเอง ขณะที่นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ไม่ได้มา โดยส่งนายเมธี ใจสมุทร ทนาย มาฟังคำวินิจฉัยแทน