สิงคโปร์โชว์ตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 2 เติบโตแข็งแกร่งเกินคาดที่ 4.3%
เศรษฐกิจสิงคโปร์ในไตรมาสที่ 2/2568 ขยายตัวในอัตรา 4.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงกว่าการเติบโต 4.1% ในไตรมาสแรก และเกินความคาดหมายของนักเศรษฐศาสตร์ที่คาดการณ์ไว้ที่ 3.5%
เมื่อเปรียบเทียบแบบไตรมาสต่อไตรมาส ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของสิงคโปร์เติบโต 1.4% ซึ่งเป็นการพลิกกลับจากการหดตัว 0.5% ในไตรมาสก่อนหน้า
การเติบโตครั้งนี้ได้รับแรงหนุนหลักจากภาคการผลิต ที่ขยายตัว 5.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน เพิ่มขึ้นจาก 4.4% ในไตรมาสแรกของปี 2568 โดยภาคการผลิตมีสัดส่วนประมาณ 17% ของเศรษฐกิจทั้งหมดของประเทศ
การเปิดเผยข้อมูล GDP ครั้งนี้เกิดขึ้นก่อนการตัดสินใจนโยบายการเงินของธนาคารกลางในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม
ในการประชุมเดือนพฤษภาคม สำนักงานการเงินสิงคโปร์ (MAS) ได้ผ่อนคลายนโยบายเป็นครั้งที่สองติดต่อกัน โดยระบุว่า "มีความเสี่ยงด้านลบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของสิงคโปร์ที่เกิดจากความผันผวนของตลาดการเงินและการลดลงของอุปสงค์ขั้นสุดท้ายในต่างประเทศที่รุนแรงกว่าที่คาดไว้"
ตัวเลขเงินเฟ้อของประเทศสนับสนุนการลดอัตราดอกเบียว โดยอัตราเงินเฟ้อหลักของสิงคโปร์ลดลงเหลือ 0.8% ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2021 ขณะที่เงินเฟ้อหลัก ที่ไม่รวมค่าที่พักและการขนส่งส่วนตัว อยู่ที่ 0.6% ในเดือนพฤษภาคม เทียบกับ 0.7% ในเดือนก่อนหน้า
แม้จะมีผลงานเศรษฐกิจที่ดีเกินคาด แต่กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมสิงคโปร์ (MTI) เตือนถึงความไม่แน่นอนและความเสี่ยงด้านลบที่ยังคงมีอยู่ในเศรษฐกิจโลกในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 เนื่องจากความไม่ชัดเจนในนโยบายภาษีของสหรัฐฯ
ก่อนหน้านี้ในเดือนเมษายน MTI ได้ปรับลดการคาดการณ์การเติบโตของ GDP ประจำปีลงเหลือ 0-2% จากการคาดการณ์เดิมที่ 1-3% ลดลงจากปี 2567 ที่เติบโต 4.4%
แม้ว่าสิงคโปร์จะยังไม่ได้รับ "จดหมายภาษี" จากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เหมือนประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ประเทศยังคงต้องเผชิญกับภาษีพื้นฐาน 10% จากสหรัฐฯ ทั้งๆ ที่มีดุลการค้าขาดดุลกับสหรัฐฯ และมีข้อตกลงการค้าเสรีตั้งแต่ปี 2547
คณะทำงานด้านความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์ ที่จัดตั้งขึ้นในเดือนเมษายนเพื่อรับมือกับภาษีสหรัฐฯ ประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าจะเปิดตัวเงินช่วยเหลือเพื่อช่วยธุรกิจรับมือกับผลกระทบจากความตึงเครียดทางการค้าโลก