‘คิดอย่างหมอยา ทำอย่างครีเอทีฟ’ วิธีที่ Chum Chum เสิร์ฟสมุนไพรแบบใหม่ให้คนกลับมาดื่มซ้ำ
ในโลกปัจจุบันที่วุ่นวายและเร่งรีบ ‘กำลังภายใน’ อาจเป็นสิ่งที่ผู้คนหลงลืมไป
เป็นที่มาที่ทำให้ จูน–สริตา วัฒนะจันทร์ ผู้ซึ่งเติบโตมากับนานาสมุนไพร จากร้านยาจีนแผนโบราณของครอบครัวฝั่งคุณแม่ จึงคิดกำเนิด Chum Chum แบรนด์เครื่องดื่ม apothecary drink ขึ้นมา
เจ้า apothecary drink เป็นเครื่องดื่มที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการที่หมอยาหรือเภสัชกรโบราณ ปรุงและจ่ายตำรับยาจากวัตถุดิบธรรมชาติ เช่น สมุนไพร รากไม้ ดอกไม้ หรือเครื่องเทศ เพื่อให้ผู้ป่วยกลับมามีพลังงานในร่างกายที่สมดุลอีกครั้ง
ในบริบทปัจจุบัน apothecary drink ไม่ใช่ยาในความหมายดั้งเดิมแต่เป็นเครื่องดื่มที่ถูกออกแบบอย่างตั้งใจให้มีหน้าที่เฉพาะ เช่น เพิ่มพลังงาน ทำให้จิตใจสงบ ช่วยย่อยอาหาร ช่วยผ่อนคลาย แต่แม้จะมีประโยชน์แค่ไหน พอเอ่ยว่าเครื่องดื่มเหล่านี้ปรุงจากสมุนไพร หลายคนน่าจะเบ้ปากและเดินหนีไป
เพื่อแก้ pain point เหล่านั้น และทำให้ผู้คนมีสุขภาพดี มีพลังงานที่สมดุล จูนจึงตั้งใจทำให้ Chum Chum มีภาพลักษณ์แบบร่วมสมัย พร้อมเสิร์ฟเครื่องดื่มจากนานาสมุนไพรในรูปแบบที่โมเดิร์นขึ้น แต่ยังคงคุณประโยชน์ และไม่มีสารเสริมที่ทำให้รสชาติผิดไปจากสมุนไพรปกติมากเกินไป จนหลายคนที่อาจเคยปิดใจ ต้องกลับมาซื้อ แล้วซื้อซ้ำ
การทำให้สมุนไพรโมเดิร์นขึ้นทั้งในเชิงรูป รส กลิ่น และเนื้อสัมผัสในแบบของ Chum Chum จะเป็นแบบไหน คอลัมน์ 5P ครั้งนี้ขอเชิญทุกคนมาซึมซับเพื่อค่อยๆ สร้างกำลังภายในไปพร้อมๆ กัน
Product
เครื่องดื่มหมอยากับปรัชญากำลังภายใน
“คีย์เวิร์ดของ Chum Chum คือกำลังภายใน”
กำลังภายในในความหมายของจูน เป็นได้ทั้งหนังกำลังภายในที่เธอชอบดูสมัยยังเด็ก และหมายรวมไปถึง ‘กำลัง’ ที่อยู่ ‘ภายใน’ ร่างกายและจิตวิญญาณของเราทุกคน
“เรามองว่าทุกวันนี้ โลกมันวุ่นวาย เร่งรีบ มันมีอะไรเยอะแยะไปหมดเลย แต่สิ่งที่เหมือนจะหายไป คือกําลังข้างในของคน”
ด้วยความที่คุ้นเคยกับวัตถุดิบพวกสมุนไพรจีน-ไทย และสมุนไพรโลกตะวันออกมาตั้งแต่เด็ก รวมถึงเติบโตมาในย่านเยาวราช การดื่มเก๊กฮวยและจับเลี้ยงแก้ร้อนใน หรือการทานซุปฟักหรือแตงกวาเพื่อให้ฤทธิ์เย็นในช่วงฤดูร้อน จึงเป็นเรื่องปกติ
“สิ่งเหล่านี้อยู่ในชีวิตเราอยู่แล้ว ทั้งในเครื่องดื่มและอาหารการกิน คนอื่นๆ อาจจะมองว่าสมุนไพรคือยาที่ป่วยแล้วต้องทาน แต่เรามองว่ามันก็คือวัตถุดิบที่เรานําไปประกอบอาหาร เป็นวัตถุดิบที่เราทานอยู่แล้วในทุกวัน”
ศาสตร์ที่เราเชื่อ จึงไม่ใช่การแก้ปัญหาด้วยยาที่เข้าไปแก้หรือกดอาการ แต่คือการเลือกรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์ร้อนหรือเย็น เพื่อเข้าไปสร้างสมดุลให้กับร่างกายของเราในแต่ละช่วงเวลา
“เราเชื่อเรื่องการบาลานซ์ เมื่อใดก็ตามที่คุณเสียบาลานซ์ คุณก็แค่ดึงมันกลับมา”
ฟังก์ชั่นคือสิ่งสำคัญ
สมุนไพรและการปรับสมดุลร่างกายสัมพันธ์กับชีวิตเธออย่างแยกไม่ขาด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสรรพสิ่งต่างๆ ในโลกปัจจุบันอาจทำให้เธอหลงลืมมันไป
“พอถึงวัยทำงาน เราเองอยากจะหาเครื่องดื่มสําหรับรีเฟรชในช่วงบ่าย ให้เรากลับมามีโฟกัส เราไม่ได้อยากตื่นแบบกระวนกระวาย จากที่ดื่มกาแฟ ก็ลองเปลี่ยนเป็นชา ปรากฏว่ามันเวิร์ก หรือกับเรื่องเครียด คนทำงานเนี่ย มันจะมีช่วงที่เคร่งเครียด ช่วงที่กดดัน เราก็ลองกลับไปหาเก๊กฮวยเพื่อนเก่าที่อยู่กับเรามาตั้งแต่เด็ก ทำให้เรารู้สึกว่า โห เราลืมสิ่งนี้ไปนานมากแล้ว”
จาก pain point ของตนเอง และความรู้เรื่องสมุนไพร Chum Chum จึงวางตัวเป็น apothecary drink หรือเครื่องดื่มที่ตอบโจทย์การเสริมกำลังภายในในแต่ละช่วงเวลา ทุกเมนูเริ่มจากการตั้งโจทย์ว่า ‘เกิดมาเพื่ออะไร’ ก่อนจะลงมือพัฒนา เช่น กลุ่มเพิ่มพลังงาน กลุ่มที่ทำให้ตื่นอย่างมีโฟกัส กลุ่มที่ช่วยผ่อนคลายและบำรุง
“คนปัจจุบันให้ความสำคัญกับ ‘คุณค่า’ หรือ value ในแต่ละสิ่งมาก เขาคาดหวังว่าสิ่งที่กินเข้าไป ว่ามันจะให้คุณค่าอะไรกับเขา ไม่ใช่ว่าอร่อยอย่างเดียว แต่ต้องอร่อยแบบพอดี มีฟังก์ชั่นที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจ และถ้าสิ่งนั้นมันดีต่อโลกด้วยก็จะยิ่งดี นี่คือ value ของคนสมัยนี้ที่เราทำการบ้านมา”
จากที่เคยคิดว่าลูกค้าแต่ละกลุ่มน่าจะชอบอะไร กลายเป็นว่าเมื่อเปิดใจ ลูกค้ากลับมาสั่งซ้ำภายใน 1 วัน เพียงแต่เปลี่ยนเมนูให้ตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา สะท้อนว่าความหลากหลายของเมนูเป็นการสร้างทางเลือกใหม่ๆ ให้ลูกค้าได้
“ตอนเช้า หลายคนจะเริ่มวันด้วยเมนูโสมสกัด เพราะโสมช่วยเพิ่มพลังชี่ (Qi) ทำให้ตื่นแบบสดใส สมองโล่ง เรารู้ดีว่าคนทำงานมักนอนน้อย ความสดชื่นเลยยังไม่เต็มที่ จึงออกแบบเมนูโสมสกัดพิเศษ โดยใช้ หยิ่งเซียม (โสมอเมริกา) เพราะมีฤทธิ์ร้อนน้อยกว่าโสมเอเชีย เหมาะกับอากาศร้อน เสริมด้วย แปะก๊วย ช่วยระบบประสาทและสมอง มีชะเอมเทศและหล่อฮังก๊วยช่วยให้รสชาติที่หอมชุ่มคอ กลายเป็นเครื่องดื่มที่ปลุกพลังอย่างสมดุล
“พอตกบ่าย คนส่วนใหญ่ไม่ได้อยากตื่นแบบกระวนกระวาย แต่ต้องการความนิ่ง โฟกัสกับงานได้โดยไม่ง่วง เมนูที่ออกแบบมาจึงเป็นกลุ่ม กุ้ยฮวา ที่มีฤทธิ์ผ่อนคลาย กลิ่นหอมธรรมชาติ ผสมกับ มัทฉะ ซึ่งทั้งคู่มีรสนุ่มนวล เข้ากันได้ดี ทำให้ตื่นแบบสงบและมีสมาธิ อีกเมนูคือ เจียวกู่หลาน ที่มีสารออกฤทธิ์คล้ายโสม ช่วยให้สดชื่นและมีพลัง แต่ราคาเข้าถึงง่าย รสชาติแบบขมนุ่มชุ่มคอ
“ช่วงเย็น หลายคนจะเลือกเจียวกู่หลาน เพราะช่วยลดความดัน ทำให้ร่างกายผ่อนคลายและนอนง่ายขึ้น”
เมนูในร้านจึงครอบคลุมความต้องการตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และยังปรับให้เข้ากับฤดูกาล เช่น หน้าร้อนกลุ่ม เก๊กฮวย และ จับเลี้ยง ที่นำมาสปาร์กกลิ้งให้รสชาติซาบซ่า ชื่นใจ และหวานน้อย เสิร์ฟพร้อมคอมบูชาเจลลี่ ถือเป็นเมนูขายดีที่ทานแล้วสดชื่นให้พลังใจ
นอกจากเครื่องดื่มที่คิดมาดีแล้ว ท็อปปิ้งของ Chum Chum ก็คิดมาะละเอียดไม่แพ้กัน แต่ละตัวล้วนมีฟังก์ชั่นที่น่าสนใจ เช่น คอมบูชาที่มีโพรไบโอติก, โกจิเบอร์รีบำรุงสายตา ที่ทำให้กรอบเคี้ยวอร่อย, พีชสำหรับเมนูน้ำมะพร้าวสปาร์กกลิ้ง ฯลฯ
“แต่ละตัวมันเกิดมาเพื่อคู่กันกับเมนูเครื่องดื่มต่างๆ อย่างกลุ่มพีชจะไปจับคู่กันกับกลุ่มน้ํามะพร้าว เก๊กฮวยกับโกจิเบอร์รีหรือเก๋ากี้ ที่เราใส่ให้เพื่อบำรุงสายตา คือเรามองไปถึงว่ากลุ่มลูกค้าที่เป็นคนทำงานต้องใช้สายตาเยอะ เราก็อยากใส่ตรงนี้เข้าไป ซึ่งมันก็ไม่ใช่เก๋ากี้เหนียวๆ แบบในซุปที่หลายคนเคยกินตอนเด็ก มันเป็นแบบกรุบกรอบ ที่ตอนแรกลูกค้าไม่คุ้น เลยเขี่ยออก แต่พอเราชวนให้เขาเปิดใจกิน ลูกค้าส่วนใหญ่เลยติดใจ ขอซื้อเก๋ากี๊ต่างหากเพื่อเอาไว้ทานเป็นของว่างก็มี”
ความอร่อยคือที่หนึ่ง
นอกจากฟังก์ชั่นที่ต้องมี Chum Chum ยังยึดหลักว่า ทุกเมนูในร้านต้องอร่อย เพราะเชื่อว่าถ้าดื่มแล้วไม่อร่อย การเติบโตของแบรนด์คงไม่ยั่งยืน สูตรทุกสูตรคงรสชาติที่ดีที่สุดในขอบเขตความเป็นธรรมชาติ ไม่ใช้วัตถุกันเสีย และเลือกวัตถุดิบที่ทานได้ทุกวันโดยไม่เป็นภาระต่อร่างกาย
“สมุนไพรตะวันออกเป็นสิ่งที่อยู่ในชีวิตพวกเราอยู่แล้ว เราจะเล่ายังไงให้ลูกค้ารู้สึกว่ามันไม่โบราณนะ มันเข้าถึงได้ เราก็ต้องเข้าใจก่อนว่า ‘อร่อย’ ของคนสมัยนี้เป็นแบบไหน ถ้าวันนี้เรานําเสนอน้ำเก๊กฮวย แค่ว่าเป็นน้ำเก๊กฮวย หรือจับเลี้ยง แค่ว่ามันเป็นสมุนไพรที่ดีต่อสุขภาพ เชื่อว่าลูกค้าจะมองข้ามมันไป เขาอาจจะรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่โบราณ เราเลยเปลี่ยนการเล่าเรื่องใหม่และใช้แนวคิดเรื่องการ modernize tradition”
ภาพ : Facebook @ChumChum.tea
ภาพ : Facebook @ChumChum.tea
ภาพ : Facebook @ChumChum.tea
เพื่อเข้าถึงลูกค้าหลากหลาย Chum Chum ออกแบบเมนูเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
Classic Apothecary เครื่องดื่มสมุนไพรดั้งเดิม เช่น โสมสกัด เจียวกู่หลาน เก๊กฮวย กุ้ยฮวา จับเลี้ยง มะตูม
Specialty Function เครื่องดื่มผสมกับวัตถุดิบอื่นเพื่อเพิ่มฟังก์ชั่น เช่น มัทฉะน้ำมะพร้าว
Sparkling Series เครื่องดื่มสมุนไพรเพิ่มความซ่าเพื่อความสดชื่นและช่วยให้จับคู่กับอาหารได้ดี เช่น กุ้ยฮวาสปาร์กกลิ้ง น้ำมะพร้าวสปาร์กกลิ้ง เก๊กฮวยสปาร์กกลิ้ง
“ถ้าเครื่องดื่มดีต่อสุขภาพ แต่ดื่มไม่อร่อย ความสุขก็หายไปเหมือนโดนบังคับกินยา เราจึงเริ่มจากคิดว่ามันจะช่วยอะไรกับร่างกาย เช่น ดื่มแล้วรู้สึกเย็นขึ้น ช่วยให้ร่างกายปรับสมดุล หรือบางคนที่ท้องผูกก็ค่อยๆ ดีขึ้น ส่วนรสชาติ เรารู้ว่าพวกคุณชอบทานของอร่อย เราก็ทํารสชาติให้ทานง่ายโดยไม่ไปลดวัตถุดิบ อัดเต็มเท่าเดิมและตั้งใจให้อร่อยที่สุดในแบบธรรมชาติ เพื่อให้ทั้งร่างกายและใจได้รับความสุขและประโยชน์แบบครบๆ
“แต่ก็ต้องบอกว่าของบางอย่าง เช่น โสม คุณจะไปคาดหวังว่ามันจะอร่อยเหมือนน้ําหวานไม่ได้ เพราะถ้ามันมีโสมในนั้นจริงๆ มันจะไม่อร่อยอยู่แล้ว ทํายังไงมันก็ขม เราจะไม่ไปกดความขมของโสม เราจะทำให้มันอร่อยที่สุดตามธรรมชาติที่มันจะเป็นได้”
ทุกเมนูขอ Chum Chum จึงตั้งใจให้คนดื่มรู้สึกดีขึ้นทั้งกายและใจ เหมือนได้เติมพลังภายในให้พร้อมไปต่อในโลกที่มีเรื่องให้จัดการมากมาย
หมอยาที่รู้ลึก รู้จริง
นอกจากเครื่องดื่มที่สุดจัด เชื่อว่าใครได้เห็นโลโก้อย่าง ‘ลุงฉ่ำ’ ก็คงถูกใจเช่นกัน และนั่นก็เป็นความตั้งใจของทีมงาน Chum Chum
ลุงฉ่ำคือตัวแทนของหมอยา ที่รู้ลึก รู้จริง และถ่อมตัว แต่เต็มไปด้วยพลังภายใน พร้อมส่งต่อกำลังภายในให้ผู้ดื่ม การสื่อสารของแบรนด์เลยจะมีโทนตะวันออก สุขุม แต่แฝงความสนุกจากการสร้างสรรค์และผสมผสานวัตถุดิบ เพื่อให้ได้รสชาติและประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร
“เราต้องรู้จริงในสิ่งที่ทำ อย่าง Chum Chum เรากล้าทำเพราะเรามีองค์ความรู้ทางด้านนี้ พอที่จะเล่าให้คุณฟังได้ว่าสิ่งที่คุณกินมันช่วยอะไร เรามีซัพพลายเออร์สินค้าที่มีคุณภาพอย่างเวชพงศ์โอสถ เราผ่านการคิดมาดีแล้วว่าสมุนไพรแบบไหนควรอยู่ด้วยกัน และควรนำเสนอแบบใด
“นอกจากจริงจัง เราจริงใจ ในสิ่งที่ลูกค้ามองไม่เห็น เราก็ต้องดูแล เช่นเรื่องคุณภาพและความสะอาดของวัตถุดิบ เราเลือกใช้ระบบครัวกลาง เพราะคุมคุณภาพได้ เรามีเครื่องล้างที่มั่นใจได้ว่า ก่อนที่สมุนไพรและวัตถุดิบต่างๆจะลงไปสู่เครื่องต้มนั้น มันถูกทำความสะอาดอย่างดี เราเลือกน้ำตาลที่มีค่า GI ต่ำ และไม่ใส่วัตถุกันเสีย เพราะเราเองก็ดื่มเครื่องดื่มของเราทุกวัน ที่บ้านเราก็ทานทุกวัน”
จูนยังเชื่อว่าเมื่อเราจริงจังและจริงใจมากพอ ลูกค้าจะสัมผัสถึงความตั้งใจนี้ได้ และลูกค้าจะเป็นคนช่วยบอกต่อ แนะนำแบรนด์ของเราให้คนอื่นๆ รู้เอง
ในทุกขั้นตอนการผลิตและส่งมอบสินค้า แบรนด์ยังพยายามลดการใช้พลาสติกให้มากที่สุด โดยเลือกใช้แก้วกระดาษและหลอดชานอ้อย (ยกเว้นกลุ่มเดลิเวอรี ที่แก้วกระดาษยังมีข้อจำกัดอยู่) เครื่องดื่มทุกแก้วยังผ่านการออกแบบประสบการณ์การดื่มอย่างละเอียด เช่น การควบคุมคุณภาพน้ำแข็งด้วยการใช้ rock ice ที่ละลายช้า ทำให้คงรสชาติได้นานแม้ในอากาศร้อน
“เราก็สนุกของเราอยู่อย่างนี้ สนุกในการนําวัตถุดิบต่างๆ มาปรุง โดยใช้สรรพคุณของมัน สร้างเป็นเครื่องดื่มตามฟังก์ชั่นต่างๆ แต่การจะปรุงใดๆ ก็ตามเรามองว่ามันต้องอร่อยด้วย มันต้องเป็นรสชาติที่อย่างน้อย คุณกินแล้วคุณมีความสุขทางใจ”
Price
ราคาที่ดื่มได้ทุกวัน
Chum Chum กำหนดกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นคนทำงานในย่าน CBD กลยุทธ์ราคาจึงออกแบบให้สามารถดื่มได้ทุกวันโดยไม่เป็นภาระมากนัก ราคาจึงเริ่มตั้งแต่แก้วละ 75 บาท ไปจนถึงร้อยกว่าบาท แม้บางเมนูจะมีราคาสูงขึ้นเพราะใช้วัตถุดิบพิเศษ เช่น โสม แต่ทีมยังคงยึดหลักให้ลูกค้าซื้อได้บ่อยและวันหนึ่งดื่มได้หลายแก้ว
แบรนด์เลือกไม่เน้นกำไรต่อแก้วสูง แต่ให้ความสำคัญกับการรักษาลูกค้าในระยะยาว ด้วยเหตุนี้ ราคาจึงไม่สูงเกินไป แม้จะมีข้อทักท้วงว่าราคาต่ำกว่า 100 บาทอาจทำให้ภาพลักษณ์ไม่ดูพรีเมียม แต่ทีมมองว่า “กำลังภายใน” และความตั้งใจส่งมอบสิ่งดีให้ลูกค้าสำคัญกว่า ภาพลักษณ์ที่ได้จากการตั้งราคาแพงเป็นเพียงเรื่องรอง
“ก่อนที่เราจะตั้งราคาก็มีคนทักท้วงว่าถ้าเกิดตั้งราคาไม่ถึงร้อย แบรนดิ้งมันจะดูไม่พรีเมียมไหม หลายคนบอกว่าเราตั้งราคาถูกไป ทำไมไม่ตั้งราคาให้มีช่องว่างสำหรับการทำโปรโมชั่น แต่เราคิดว่าเราขอแหวกแล้วกัน แบบนี้เราสบายใจกว่า
“หลักคิดของเรามันคือกำลังภายใน เราตั้งใจทําของที่ดีให้คุณ ไม่ว่าจะเรื่องสุขภาพ จนไปถึงราคา เราอยากให้คุณกินได้ทุกวัน เราเลยไม่อยากให้ราคาเป็นปัจจัยที่ทำให้ต้องคิดเยอะ ในเรื่องโปรโมชั่นในเชิงลดราคาจึงไม่ใช่จุดเด่นของเราจริงๆ เพราะเราลดไปแต่แรกอยู่แล้ว”
Promotion
สายสัมพันธ์กับลูกค้าคือสิ่งยั่งยืน
Chum Chum เน้นสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าผ่านการสื่อสารในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ มากกว่าการจัดโปรโมชั่นลด แลก แจก แถม เมื่อถามถึงโปรโมชั่นของแบรนด์ จูนจึงบอกว่ากลยุทธ์อาจแตกต่างจากธุรกิจทั่วไป
“เราเลือกก่อนว่า เราอยากให้เขาจําภาพเรายังไง อย่าง Chum Chum เราเน้นแนวคิดหลักว่า ‘กำลังภายใน’ เพื่อให้เขาจำเราได้จากคำนี้ แล้วเมื่อไหร่ที่เขาต้องการกําลังภายใน ไม่ว่าจะเพราะเครียด เพราะง่วง หรือแค่อยากได้กำลังใจ เขาสามารถมาเติมกำลังภายในกับเราได้”
ทุกองค์ประกอบตั้งแต่เครื่องดื่ม บรรจุภัณฑ์ ไปจนถึงหน้าร้านถูกออกแบบให้สอดคล้องกับคอนเซปต์นี้ จูนเสริมว่าเมื่อมีเส้นเรื่องหรือคอนเซปต์หลัก ย่อมทำให้การสื่อสารง่ายขึ้น ทีมเพียงเลือกเรื่องราวและเครื่องมือการสื่อสารให้เหมาะสม ก็สามารถได้ใจลูกค้ามาครอง
“ในใบเมนู เรามีไอคอนอธิบายฟังก์ชั่นของเครื่องดื่ม เช่น เครื่องดื่มตัวนี้ให้พลังหยิน ตัวนี้ให้พลังหยาง ตัวเครื่องดื่มก็มีเรื่องราวความเป็นมาที่น่าสนใจ ว่ามีส่วนผสมจากอะไร แต่ละตัวมีฟังก์ชั่นแบบไหน พอเขาได้เครื่องดื่มไป บนแก้วเราก็มีช่องทางติดต่อให้เขาฟีดแบ็กกลับมาได้ แล้วเรายังติดคำคมหรือแคปชั่นไปเพื่อเติมพลังให้เขา
“มีครั้งหนึ่ง พนักงานหน้าร้านลืมติดโพสต์อิทคำคมไปให้ในแก้ว ที่ลูกค้าสั่งผ่านทางเดลิเวอรี ตกบ่ายลูกค้าแท็กตามเรามาในไอจี ว่าทำไมวันนี้ไม่มีกระดาษแคปชั่นล่ะ งั้นเขาเขียนคำคมแปะแก้วให้กำลังใจตัวเองไปก่อนก็ได้ มันก็ทำให้เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราตั้งใจมันสื่อสารกับลูกค้าได้จริงๆ”
นอกจากการสื่อสารผ่านเครื่องดื่มแล้ว Chum Chum ยังจริงจังกับการออกแบบหน้าร้านให้เล่าเรื่องได้ด้วยตนเอง อย่างหัวจ่ายเครื่องดื่มที่เป็นหัวจ่ายเบียร์ ก็เพื่อควบคุมอุณหภูมิและความสะอาดของเครื่องดื่ม ซึ่งไม่ได้มีประโยชน์กับแบรนด์แค่เพื่อทำให้เครื่องดื่มอร่อย แต่ยังทำให้ร้านน่าสนใจ ชักชวนให้คนถ่ายรูปลงโซเชียลมีเดียได้ด้วยตัวมันเอง และถ้าใครไปเติมพลังกันถึงร้านก็จะเห็นดอกไม้สดที่สับเปลี่ยนกันมาในแต่ละวัน เป็นความตั้งใจของจูนที่อยากเติมสีสันให้ลูกค้า
“พื้นเพเดิมของพวกเรา เราทําเรื่องไอทีมาด้วย เราถนัดเรื่อง การออกแบบประสบการณ์ (user experience) ฉะนั้นก่อนที่จะทําอะไรออกมา เราจะพยายามเดาใจลูกค้า หรือว่ากลุ่มเป้าหมายของเราก่อนว่าเขาอยากได้อะไร แล้วเราจะเสิร์ฟสิ่งนั้นได้ตรงใจที่สุดได้ยังไงบ้าง”
ภาพ : Instagram @chumchum.tea
ภาพ : Instagram @chumchum.tea
โปรโมชั่นของ Chum Chum ไม่เน้นราคา แต่เน้นให้ลูกค้าได้ลองเมนูใหม่ๆ เช่น ชามะลิช่วงวันแม่ที่ผ่านมา ที่มาพร้อมดอกมะลิจากผู้สูงอายุบ้านบางแค ซึ่งแบรนด์รับซื้อมาประดับในทุกแก้ว เพื่อส่งต่อพลังบวกและสร้างคุณค่าให้ผู้ทำและผู้รับ
ดอกมะลิประดิษฐ์มือแต่ละดอกมีความหมายและเรื่องราวเฉพาะตัว ต่างจากดอกมะลิประดิษฐ์สำเร็จรูปที่หาซื้อได้ทั่วไป
“วันที่ไปรับมอบดอกมะลิ ทีมงานเราไปรับมอบด้วยตนเองและนำเครื่องดื่มไปให้เพื่อขอบคุณ ทางนั้นก็ขอบคุณเราเหมือนกันที่ให้เขาได้ทำอะไรสนุกๆ มันทำให้เรายิ่งรู้สึกดีนะ”
“เรารู้สึกว่าประเด็นมันไม่ใช่อยู่ที่ตัวเลขกำไร-ขาดทุน แต่เราอยากให้พวกท่านรู้ว่า แม้ท่านจะอายุมากแล้ว แต่ก็ยังสามารถสร้างสิ่งที่มีคุณค่าได้อยู่ แล้วคุณค่านั้นมันก็เปลี่ยนกลับมาเป็นคุณค่าให้กับลูกค้าและแบรนด์ของเราต่อไป”
Place
สถานที่ย่าน CBD ตามกลุ่มลูกค้า
การเติบโตของ Chum Chum เริ่มจากการเปิดร้านเครื่องดื่มในห้างสรรพสินค้าย่าน CBD เนื่องจากมองว่าเครื่องดื่มของแบรนด์ตอบโจทย์กลุ่มคนทำงาน ทำให้เลือกปักหมุดในย่านนี้เป็นหลัก
ปัจจุบันกลยุทธ์ยังคงเน้นการขยายสาขาภายในห้าง เพราะเป็นจุดที่มีลูกค้ากลุ่มหลักอยู่มาก การเลือกทำเลจะพิจารณาจากตำแหน่งที่กลุ่มเป้าหมายอาศัยหรือทำงานอยู่ จูนยังเผยว่า Chum Chum ตั้งใจจะขยายสาขาให้ครบ 10 สาขาภายในปีนี้ เพื่อส่งต่อกำลังภายในให้ลูกค้าทุกคน
Purpose
วัตถุประสงค์ ความจริงจัง และความจริงใจ
“ไม่ว่าจะทําอะไรก็ตาม เราต้องมี purpose หรือวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนว่าคุณทําสิ่งนั้นขึ้นมาทําไม” จูนให้คำตอบ เมื่อเราเอ่ยถามถึง P ที่สำคัญของแบรนด์ นอกเหนือไปจาก Product, Price, Place และ Promotion
เครื่องดื่มทุกเมนูของ Chum Chum ถูกสร้างขึ้นโดยมีหน้าที่เฉพาะ ไม่ใช่เพียงเพื่อความอร่อย ในระดับแบรนด์ จูนก็ตอบได้ชัดเจนว่าทำไมแบรนด์นี้ต้องมีอยู่
“เราตอบตัวเองได้ว่าที่ต้องทำแบรนด์นี้ขึ้นมาเพราะเราอยากช่วยเพิ่มกําลังภายในให้คุณได้ไปใช้ชีวิตบนโลกใบนี้อย่างมีความสุขและยั่งยืน”
ประสบการณ์หลังจากเปิดร้านทำให้เราตระหนักว่า หากตั้งใจทำสิ่งหนึ่งให้ดีที่สุด ส่งต่อของดีไปถึงลูกค้าอย่างจริงใจ ของดีนั้นจะเป็นตัวสร้างความยั่งยืนให้แบรนด์เอง โดยไม่ต้องอาศัยกลยุทธ์การตลาดที่สวยหรู
“ลูกค้าจะเป็นคนพูดให้คุณเองว่าของของคุณมันมีคุณค่ายังไง มันมีดีอะไร ถ้าเราทำอย่างตั้งใจแล้วเราสื่อสารให้เขาเห็นว่าเราจริงใจอย่างสม่ำเสมอ มันจะได้ผลตอบรับที่ออร์แกนิกมาก ที่สำคัญ มันจะเป็นความสุขทางใจที่ดีให้คนทํางานต่อไป”