รู้ทันข้อเท้าพลิก-ข้อเท้าแพลง แนวทางดูแลและป้องกันอย่างถูกวิธี
อาการบาดเจ็บบริเวณข้อเท้าเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการข้อเท้าพลิก-ข้อเท้าแพลง (Ankle sprain) ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากกิจกรรมทั่วไปรวมถึงการออกกำลังกาย หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนหรืออาการเรื้อรังที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว สาเหตุ วิธีการปฐมพยาบาล แนวทางรักษา และการป้องกันอย่างถูกต้องจะช่วยลดโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อนและเร่งกระบวนการฟื้นตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วิธีบริหารข้อไหล่ ลดอาการปวด แพทย์แนะควรทำหลังอาหารทุเลาลงแล้ว
เทคนิคปรับท่าวิ่งให้ถูกต้อง ลดอาการบาดเจ็บ ปวดเข่า ปวดหลัง
ลักษณะอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้า
อาการเฉียบพลัน
- ปวดข้อเท้าทันทีหลังได้รับบาดเจ็บ
- บวมบริเวณข้อเท้า
- มีรอยฟกช้ำหรือช้ำเขียว
- เคลื่อนไหวลำบาก เดินไม่ได้หรือเดินลำบาก
อาการเรื้อรัง
- ปวดข้อเท้าเมื่อใช้งาน
- ข้อเท้าแข็ง (Stiff ankle) โดยเฉพาะช่วงเช้า
- กล้ามเนื้อรอบข้อเท้าอ่อนแรง
- ข้อเท้ารู้สึกหลวม หรือไม่มั่นคงเมื่อยืน หรือมีอาการข้อเท้าพลิกซ้ำ
สาเหตุที่พบบ่อยของอาการบาดเจ็บข้อเท้า
- กิจกรรมกีฬา เช่น วิ่งบนพื้นไม่เรียบ กระโดด หรือเปลี่ยนทิศทางเร็ว
- อุบัติเหตุในชีวิตประจำวัน เช่น เดินพลาดขั้นบันได ลื่นเสียหลักจากสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม หรือ จากการสวมใส่รองเท้าไม่เหมาะสม
ปัจจัยเสี่ยงส่วนบุคคล
- เคยมีประวัติข้อเท้าพลิก
- กล้ามเนื้อรอบข้อเท้าอ่อนแรง
- น้ำหนักเกิน หรืออายุเพิ่มขึ้น
- ความยืดหยุ่นของข้อเท้าลดลง
วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น
ใช้หลัก RICE protocol โดยเฉพาะช่วง 48-72 ชั่วโมงแรกหลังบาดเจ็บ
R-Rest (พักการใช้งาน)
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เพิ่มอาการปวด
- หลีกเลี่ยงการเดินลงน้ำหนักข้อเท้าข้างที่บาดเจ็บ
- ใช้ไม้เท้าค้ำหรืออุปกรณ์ช่วยพยุง
I-Ice (ประคบเย็น)
ประคบน้ำแข็ง 15–20 นาที ทุก 2–3 ชั่วโมง โดยใช้ผ้ารอง ไม่ให้สัมผัสผิวหนังโดยตรง
C-Compression (พันรัด)
ใช้ผ้ายืดพันให้กระชับ ระวังไม่ให้แน่นเกินไปจนเลือดไหลเวียนไม่สะดวก
E-Elevation (ยกเท้าสูง)
ยกข้อเท้าให้สูงกว่าระดับหัวใจ เพื่อลดบวม โดยใช้หมอนรองเมื่อนอนหรือนั่งพัก
ข้อควรหลีกเลี่ยงในช่วง 48-72 ชั่วโมงแรก
- ห้ามประคบร้อน
- หลีกเลี่ยงการนวดหรือใช้ข้อเท้าเกินความจำเป็น
อาการบาดเจ็บข้อเท้าที่ควรพบแพทย์
- ปวดรุนแรงจนไม่สามารถลงน้ำหนักได้
- ข้อเท้าเสียรูปหรือผิดปกติ
- รู้สึกชาหรือเท้าเปลี่ยนสี
- มีเสียง “แตก” ขณะเกิดอุบัติเหตุ
- ปวดต่อเนื่องแม้ได้รับการดูแลเบื้องต้นแล้ว
- มีประวัติเคยบาดเจ็บข้อเท้าซ้ำหลายครั้ง
- ปวดข้อเท้าต่อเนื่องเกิน 1 สัปดาห์
- ข้อเท้าไม่มั่นคงหรือหลวมผิดปกติ
- การเคลื่อนไหวของข้อเท้าจำกัดลง
- มีการติดเชื้อ เช่น แดง ร้อน มีหนอง
การวินิจฉัยทางคลินิก
- การซักประวัติและตรวจร่างกาย
- ภาพถ่ายรังสี (X-ray): ตรวจหากระดูกหัก และดูการเรียงตัวของข้อต่อต่างๆ
การตรวจเพิ่มเติมอื่นๆ
- Ultrasound: ประเมินเส้นเอ็น และกล้ามเนื้อ
- MRI: ประเมินเส้นเอ็น กล้ามเนื้อ ผิวข้อกระดูก และกระดูก
- CT scan: ประเมินภาวะที่มีกระดูกหักซับซ้อน
การประเมินระดับความรุนแรงของเอ็นที่ฉีกขาด
- Grade 1: เอ็นมีการอักเสบ หรือยืดออกเล็กน้อย โดยไม่มีการฉีกขาด
- Grade 2: เอ็นฉีกขาดบางส่วน
- Grade 3: เอ็นฉีกขาดสมบูรณ์ หรือทั้งหมด
แนวทางการรักษา
การรักษาแบบไม่ผ่าตัด ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถฟื้นตัวได้โดยไม่ต้องผ่าตัด
ระยะเฉียบพลัน (0-72 ชั่วโมง)
- ใช้หลักการดูแลตาม RICE protocol
- รับประทานยาแก้ปวดและลดอักเสบตามคำแนะนำแพทย์
- ใช้อุปกรณ์พยุงข้อเท้า (Ankle support )หรือใส่เฝือกอ่อนข้อเท้าแบบสั้น (Short leg slab) ตามระดับความรุนแรง
- ยาแก้ปวดและลดการอักเสบ เช่น พาราเซตามอล หรือยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Nonsteroidal anti-inflammatory drug; NSAIDs)
ระยะการฟื้นฟู (3-7 วัน)
- เริ่มประคบร้อนเมื่ออาการบวมลดลง
- เริ่มออกกำลังกายเบาๆ เช่นขยับข้อเท้าเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น และป้องกันข้อเท้าแข็ง
- นวดเบาๆ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือด
ระยะพักฟื้น (1-4 สัปดาห์)
- ฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อเท้า (Strengthening) ความยืดหยุ่น (Stretching) และความสมดุลและการทรงตัว (Balancing and proprioception)
- การทำกายภาพบำบัดเพื่อลดอาการอักเสบ เช่น อัลตราซาวด์ หรือเลเซอร์ (Laser therapy)
การรักษาแบบผ่าตัด
มักใช้การผ่าตัดแบบส่องกล้อง ซึ่งมีบาดแผลเล็กและฟื้นตัวเร็วกว่า ใช้ในกรณี
- เอ็นฉีกขาดสมบูรณ์ (Grade 3)
- ข้อเท้าไม่มั่นคงอย่างต่อเนื่อง
- อาการไม่ดีขึ้นแม้ผ่านการรักษาอย่างต่อเนื่อง 3–6 เดือน
คำถามที่พบบ่อย
- มีอาการปวดข้อเท้าหลังข้อเท้าพลิกนานแค่ไหนจึงควรไปพบแพทย์?
- หากมีอาการมากกว่า 4 สัปดาห์ แนะนำให้พบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ เนื่องจากอาจมีปัจจัยเสี่ยงอาจทำให้ปวดนาน เช่น
- เส้นเอ็นหรือกระดูกบาดเจ็บรุนแรงกว่าที่คิด
- ไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม
- ไม่ได้รับการบริหารหรือทำกายภาพอย่างเหมาะสม
ภาวะแทรกซ้อนจากข้อเท้าพลิกมีอะไรบ้าง ?
- ภาวะข้อเท้าไม่มั่นคงเรื้อรัง (Chronic ankle instability)
- ข้อเท้าพลิกซ้ำบ่อยครั้ง (Recurrent ankle sprain)
- อาการปวดเรื้อรัง (Chronic pain)
- กระดูกข้อเท้าเสื่อมหลังจากข้อเท้าพลิก (Post-traumatic ankle osteoarthritis)
อาการบาดเจ็บข้อเท้าโดยเฉพาะข้อเท้าพลิก-ข้อเท้าแพลง เป็นปัญหาที่พบได้บ่อย และไม่ควรมองข้าม การรักษาอย่างถูกวิธีตั้งแต่แรกเริ่ม การประเมินโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และการทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่องสามารถลดภาวะแทรกซ้อนและช่วยให้กลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติอย่างปลอดภัย หากอาการไม่ดีขึ้นภายในระยะเวลาที่เหมาะสม หรือมีสัญญาณอันตราย ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อรับการวินิจฉัยและดูแลอย่างถูกต้อง
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลพญาไท 3