ดัชนีเชื่อมั่นหอการค้าฯ มิ.ย.ร่วงต่อเนื่อง กังวลการเมือง-ภาษีทรัมป์ซ้ำเติม
ดัชนีเชื่อมั่นหอการค้าฯ ในเดือนมิถุนายน 2568 ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 สะท้อนความกังวลภาคธุรกิจ ปัจจัยลบหลักมาจากเสถียรภาพทางการเมือง นโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ผู้ประกอบการร้องรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการค้าเพิ่มเติมเพื่อรับมือความท้าทาย
นายวชิร คูณทวีเทพ ผู้อำนวยการสถาบันยุทธศาสตร์การค้า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย (TCC INDEX) ประจำเดือนมิถุนายน 2568 ซึ่งจัดทำขึ้นจากการสำรวจความคิดเห็นของภาคธุรกิจและหอการค้าทั่วประเทศจำนวน 369 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 23-30 มิถุนายน 2568 พบว่า ดัชนีฯ อยู่ที่ระดับ 46.7 ลดลงจากระดับ 48.0 ในเดือนพฤษภาคม 2568 ถือเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4
การลดลงของดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยเกิดขึ้นในทุกภูมิภาค โดยกรุงเทพฯ และปริมณฑล อยู่ที่ 46.7, ภาคกลาง 46.2, ภาคตะวันออก 50.2, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 45.3, ภาคเหนือ 46.9, และภาคใต้ 45.3 ซึ่งทุกภาคล้วนลดลงจากเดือนพฤษภาคม
ปัจจัยลบที่กดดันความเชื่อมั่น
นายวชิรระบุปัจจัยลบหลักที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ ได้แก่:
- ความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมือง : สืบเนื่องจากเหตุการณ์คลิปเสียงสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างนายกรัฐมนตรีไทยกับประธานวุฒิสภากัมพูชา ที่มีเนื้อหากระทบต่อกองทัพและอธิปไตยไทย
- นโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ : ความกังวลต่อแนวทางนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และการตอบโต้ของประเทศต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบาย Trump 2.0 โดยเฉพาะผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้า
- เศรษฐกิจโลกชะลอตัว : รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ของโลกที่ยังคงยืดเยื้อ เช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครน และความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
- เศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัวช้า : ปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น ผู้บริโภคระมัดระวังการจับจ่าย ส่งผลกระทบต่อยอดขายของธุรกิจ และรายได้ที่ไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพ
- ราคาสินค้าเกษตรบางชนิดลดลง : ราคาข้าวเปลือกเจ้า มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน อยู่ในระดับต่ำกว่าปีที่ผ่านมา อาจส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่มากนัก กระทบกำลังซื้อในบางพื้นที่ต่างจังหวัด
- ราคาน้ำมันขายปลีกสูงขึ้น : ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ออกเทน 91 (E10) และแก๊สโซฮอล์ ออกเทน 95 ปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 0.66 บาทต่อลิตรจากเดือนที่ผ่านมา
- ต้นทุนผู้ประกอบการสูงขึ้น : โดยเฉพาะประเด็นค่าจ้างแรงงานที่อาจปรับตัวสูงขึ้น
ปัจจัยบวกที่ประคับประคองสถานการณ์
ในทางกลับกัน ยังมีปัจจัยบวกที่ช่วยประคับประคองสถานการณ์ ได้แก่:
- การคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย : คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.75% ต่อปี และปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ปี 2568 อยู่ที่ 2.3% จากเดิม 1.3-2.0%
- นักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น : จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการยกเว้นการยื่นวีซ่า
- การส่งออกของไทยขยายตัว : เดือนพฤษภาคม 2568 การส่งออกของไทยขยายตัว 18.35% ที่มูลค่า 31,044.58 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
- ราคาน้ำมันดีเซลทรงตัว : ราคาน้ำมันดีเซลขายปลีกยังคงทรงตัวจากเดือนที่ผ่านมาที่ระดับ 31.94 บาทต่อลิตร
- ราคาพืชผลเกษตรดีขึ้น : ราคาพืชผลทางการเกษตรหลายรายการปรับตัวดีขึ้นหรือทรงตัวในระดับที่ดีเกือบทุกรายการสำคัญ ส่งผลให้เกษตรกรเริ่มมีรายได้สูงขึ้น
- เงินบาทแข็งค่าขึ้น : เงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 32.934 บาทต่อดอลลาร์ ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2568 เป็น 32.623 บาทต่อดอลลาร์ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568
ข้อเสนอแนะจากภาคธุรกิจถึงภาครัฐ
ผู้ประกอบการได้เสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาต่อภาครัฐ ดังนี้:
- มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม : เพื่อเพิ่มกำลังซื้อและหมุนเวียนเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจ รวมถึงมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย
- แผนการเจรจาต่อรองภาษีกับประเทศมหาอำนาจ : เพื่อลดผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย
- มาตรการป้องกันและรับมือสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา : เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
- การบริหารจัดการน้ำ : ให้เหมาะสมกับภาคการเกษตร อุปโภค-บริโภค และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง
- การส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง : ทั้งเมืองหลักและเมืองรอง เพื่อกระจายเม็ดเงินสู่พื้นที่ต่างๆ
- มาตรการส่งเสริมและช่วยเหลือ SMEs : เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
- มาตรการทางการเงิน : ที่ช่วยเหลือสภาพคล่องของภาคธุรกิจ ดูแลมาตรฐานการให้สินเชื่อของสถาบันการเงิน และช่วยลดความเสี่ยงหนี้เสีย