‘คาราบาว’ โตแรงรอบ 15 ไตรมาส ดึง 2 แบรนด์เบียร์เสริมแกร่งการขาย
ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังหมื่นล้านบาท เป็นสนามที่ 3 บิ๊กแบรนด์ขับเคี่ยวกันเข้มข้น “คาราบาวแดง” เบอร์ 2 ที่ใช้กลยุทธ์ราคา 10 บาท ยังคงสร้างการเติบโตต่อเนื่อง ผลประกอบการไตรมาส 2 เติบโตทั้งยอดขายและ “กำไร”
ร่มธรรม เสถียรธรรมะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทสามารถสร้างยอดขายสินค้าและบริการสูงสุดเป็นประวัติการณ์หรือออล ไทม์ ไฮ(All time high)ในรอบ 15 ไตรมาส และภาพรวมควรดีกว่านี้หากไม่มีปัจจัยเปราบางจากสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ที่กระทบการค้าบริเวณชายแดน ส่งสินค้าไปยังประเทศกัมพูชาไม่ได้ ขณะเดียวกันคาราบาวแดง ยังมีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุดเช่นที่ระดับ 26.7% เพิ่มขึ้น 1.6% จากก่อนหน้าที่มีส่วนแบ่งตลาด 25.1%
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2 บริษัทสร้างรายได้จากการขายรวม 5,577 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน จำนวนนี้เป็นรายได้จากการดำเนินการผลิตภายใต้เครื่องหมายการค้าของตนเองจำนวน 3,216 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากยอดขายเครื่องดื่มบำรุงกำลังคาราบาวแดงในประเทศที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งเพิ่มขึ้น 27% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน
“เครื่องดื่มชูกำลังเราดีขึ้นทั้งยอดขายและส่วนแบ่งการตลาด และควรจะดีกว่านี้หากไม่มีสถานการณ์ขัดแย้งไทย-กัมพูชา”
ขณะที่ส่วนแบ่งทางการตลาดเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก “คาราบาวแดง” ดำเนินกลยุทธ์หลักคงราคาขายปลีกที่ 10 บาท ช่วยคนไทยลดค่าครองชีพ ควบคู่กับการสานต่อกิจกรรมทางการตลาดภายใต้แคมเปญบาวแดงช่วยคนไทยสร้างอาชีพรวมถึงการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การกระจายสินค้าที่ละเอียดยิ่งขึ้นให้มีเครือข่ายที่กว้างขวางและครอบคลุมมากขึ้นผ่านคู่ค้ารายย่อยระดับอำเภอและระดับตำบล
นอกจากนี้ บริษัทยังลุยซีนเนอร์ยี ด้วยการเพิ่มจำนวนคู่ค้าของสินค้าเครื่องดื่มบำรุงกำลังผ่านพอร์ตโฟลิโอสินค้าของคู่ค้า“กลุ่มแอลกอฮอล์” ด้วย เพื่อขยายช่องทางการจัดจำหน่าย
ส่วนรายได้จากการรับจ้างจัดจำหน่ายให้แก่บุคคลภายนอกจำนวน 2,104 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% หลักๆมาจากการจัดจำหน่ายสินค้าประเภทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่ยังคงได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่รายได้จากการจำหน่ายสินค้ากลุ่มอื่นๆเท่ากับ 189 ล้านบาท ลดลง 28% สอดคล้อง กับยอดขายของบริษัทคู่ค้า
ปัจจุบันคาราบาวสร้างยอดขายในประเทศสัดส่วน 56%และต่างประเทศสัดส่วน 44% ทั้งนี้ ตลาดต่างประเทศสร้างยอดขาย 1,404 ล้านบาท “ลดลง 4%” จากช่วงเดียวกันปีก่อน เพราะได้รับผลกระทบของการจำกัดการผ่านแดนทางบกระหว่างไทย-กัมพูชาอย่างกะทันหัน บริษัทฯ จึงมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเส้นทางและ วิธีการขนส่งสินค้าไปทางเรือแทน ซึ่งใช้ระยะเวลาในการขนส่งนานกว่าทางบก ส่งผลให้การขนส่งสินค้าในประเทศกัมพูชาช่วงแรกมีความล่าช้าเกินกว่ากำหนด
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ดำเนินการจัดตั้งโรงงานในประเทศกัมพูชา โดยจะดำเนินการให้เร็วขึ้นกว่ากำหนดการเดิม และคาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในสิ้นปี 2568 เพื่อแก้ไขปัญหาความไม่แน่นอนในการนำเข้าสินค้าในระยะยาว
ส่วนรายได้จากการส่งออกไปยังเมียนมายังคงเติบโตได้ดีจากปัจจัยด้านฤดูกาลและสภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวได้ดี โดยโรงงานผลิตสินค้าที่ประเทศเมียนมา จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 3 ปี 2568 เพื่อแก้ไข ปัญหาความไม่แน่นอนในการนำเข้าสินค้า โดยบริษัทฯจะได้ประโยชน์ส่วนเพิ่มจากการลดค่าใช้จ่ายในการขนส่ง และเพิ่มโอกาสการแข่งขันในตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังในประเทศเมียนมา รวมถึงรายได้จากการส่งออกไปยังเวียดนามที่ยังคงเติบโตต่อเนื่อง 38% และเติบโตเป็นเท่าตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า หลังจากการร่วมมือกับคู่ค้ารายใหม่ที่มีความสามารถในการกระจายสินค้าให้ครอบคลุมในพื้นที่และเข้าใจตลาด บริษัทฯ คาดว่าประเทศเวียดนามเป็นประเทศที่มีโอกาสสร้างยอดขายที่เพิ่มขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ
อีกรายได้ที่น่าสนใจคือการรับจ้างจัดจำหน่ายให้แก่บุคคลภายนอกจำนวน 2,104 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการนำ“เครื่องดื่มแอลกอฮอล์” ประเภท“เบียร์” มาเสริมแกร่ง และ 2 แบรนด์ทั้ง “คาราบาว-ตะวันแดง” ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคต่อเนื่อง
ทั้งนี้ บริษัทเดินหน้าเพิ่มประสิทธิภาพการกระจายสินค้าที่กว้างขวางและครอบคลุมของทุกช่องทางการขาย ซึ่งกลยุทธ์การนำ “เบียร์” มาต่อยอดเป็นเครื่องมือทำการตลาดจึงสงผลให้ธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เติบโตและแข็งแกร่งขึ้น สำหรับการกำหนดยุทธศาสตร์ “เบียร์” เพื่อมุ่งเน้น 2 กลยุทธ์หลัก
1.มุ่งสร้างความนิยมแก่ผู้บริโภคเพื่อสร้างผู้ดื่ม โดยเน้นรุกกลุ่มร้านอาหารในหัวเมืองใหญ่ ผับ บาร์ (On-trade) รุกงานอีเวนต์และงานคอนเสิร์ต รวมถึงการสร้างแบรนด์สอดรับกับ Carabao Cup ที่บริษัททุ่มเงินมหาศาลเป็นผู้สนับสนุนกีฬาฟุตบอลระดับโลก 2.สร้างร้านค้าพันธมิตรเพื่อกระจายความนิยมและกระจ่ายสินค้าให้กว้างขวางและครอบคลุม ผู้บริโภคสามารถหาซื้อ สินค้าได้ง่าย
ด้านกำไรสุทธิไตรมาส 2 อยู่ที่ 800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากช่วงเดียวกันปีก่อน สะท้อนยอดขายที่เพิ่มขึ้น ต้นทุนที่ปรับตัวลดลงการควบคุมค่าใช้จ่ายดำเนินงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุง รวมถึงค่าใช้จ่ายทางการเงินลดลงจากความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของบริษัทฯ ปรับตัวดีขึ้นรวมถึงการจัดการเงินทุนหมุนเวียนมีประสิทธิภาพมากขึ้น