18 ปี บนเส้นทางของ ‘ไทยเครดิต‘ มุ่งสู่ ’ธนาคารยุคใหม่‘ แบงก์โตเร็วที่สุดรอบ 10ปี
“ธนาคารไทยเครดิต” ถือเป็นธนาคารพาณิชย์ไทย (แบงก์) ที่มีความโดดเด่นอย่างมากในด้าน “การเติบโต” แม้จะเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เพียงแค่ 1 ปีครึ่ง
แต่เส้นทางการดำเนินธุรกิจธนาคารในฐานะธนาคารพาณิชย์ไทยก็เดินทางมานานกว่า 18 ปีแล้ว !! จนองค์กร “ไทยเครดิต” ถูกขนานนามว่า “แบงก์ที่เติบโตเร็วที่สุดของประเทศไทย” ด้วยโมเดลที่แตกต่างจากธนาคารดั้งเดิม จากการสร้างผลประกอบการ ผลตอบแทนที่โดดเด่น อย่าง ROE ที่สูงสุดในระบบแบงก์
“รอยย์ ออกุสตินัส กุนารา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) หรือ CREDIT ฉายภาพให้เห็นถึงจุดเริ่มต้นของ “ไทยเครดิต” ให้ฟังว่า ธนาคารเริ่มต้นธุรกิจในฐานะธนาคารพาณิชย์มานานกว่า 18 ปี เริ่มจากการให้บริการ “สินเชื่อธุรกิจไมโครเอสเอ็มอี” (Micro SME) ก่อนที่จะขยายธุรกิจครอบคลุมไปถึงสินเชื่อนาโนและไมโครเครดิต รวมถึงสินเชื่อที่ใช้บ้านเป็นหลักประกัน
ปี 2567 ก็ถือเป็นก้าวสำคัญของธนาคารที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ ซึ่งนับเป็นหุ้นธนาคารพาณิชย์แห่งแรกที่สามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา
วันนี้ “ไทยเครดิต” เป็นธนาคารที่ยังใหม่มากในระบบ ถือเป็นธนาคารที่อายุน้อยที่สุดในประเทศไทย และเป็นธนาคารขนาดเล็ก แต่ในขณะเดียวกันก็เป็น “ธนาคารที่เติบโต” อย่างชัดเจน หากย้อนดูเส้นทางของเราตลอด 18 ปีที่ผ่านมา รวมถึงช่วง 12-13 ปีนับตั้งแต่ “รอยย์” ได้เข้ามาทำงานในที่แห่งนี้ ที่สามารถสร้างผลการดำเนินงานที่โดดเด่น และถือเป็นหนึ่งในผลงานที่ดีที่สุดในภูมิภาคตามมุมมองของนักลงทุนหลายราย
ตอกย้ำถึง ผลการดำเนินงานของธนาคารไทยเครดิตในครึ่งปีแรก ที่เติบโตโดดเด่นอย่างมาก โดยสินเชื่อเติบโตสูงถึง 5.2% ในภาวะเศรษฐกิจที่คาดเดาได้ยาก ซึ่งถือเป็นการเติบโตสูงสุดในระบบ เมื่อเทียบกับกลุ่มธนาคารพาณิชย์โดยรวมที่มีการเติบโตเล็กน้อยหรือหดตัว โดยหากดูจากค่าเฉลี่ย 11 ธนาคารหดตัว 0.4% ตั้งแต่สิ้นปี 2567 ถึงครึ่งปีแรก จากการเติบโตต่อเนื่อง ทำให้พอร์ตสินเชื่อของธนาคารเติบโตต่อเนื่อง ทะลุ 171,000 ล้านบาท
ปัจจัยที่ทำให้ธนาคารยังเติบโตได้ ผลประกอบการดีต่อเนื่อง มาจากการที่ธนาคารเน้นการรักษาคุณภาพสินเชื่อเป็นหลัก และสามารถขยายฐานลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งลูกค้ารายเดิมที่ต้องการเงินทุน และลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ
โดยเฉพาะกลุ่มไมโครเอสเอ็มอีซึ่งเป็นฐานลูกค้าแรกของธนาคาร
การเติบโตของสินเชื่อ เป็นตัวสะท้อนถึงกลยุทธ์ที่ชัดเจนและการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพของธนาคารในช่วงเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ทำให้กำไรสุทธิครึ่งปีแรกเติบโตโดดเด่นที่ 1,828 ล้านบาท เติบโต 44% จากปีก่อนหน้า ขณะที่อุตสาหกรรมโตได้เพียง 3.5% เท่านั้น
นั่นก็มาจากความพยายามในการบริหารคุณภาพพอร์ตสินเชื่อที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบันหากดูพอร์ตสินเชื่อของธนาคารยังคงอยู่ใน “4 กลุ่มหลัก”คือ “สินเชื่อไมโครเอสเอ็มอี” ที่เป็นสินเชื่อหลักปัจจุบันมีพอร์ตกว่า 1.1 แสนล้านบาท “สินเชื่อนาโนและไมโครเครดิต” และ “สินเชื่อ Home Equity” ที่ใช้บ้านเป็นหลักประกัน รวมถึง “สินเชื่อส่วนบุคคล” ภายใต้การกระจายพอร์ตไปสู่กลุ่มลูกค้าใหม่ต่อเนื่อง เพื่อหาโอกาสสร้างรายและสร้างฐานรายได้ให้แบงก์ที่หลากหลายขึ้น
ไม่เพียงแต่การปล่อยสินเชื่อผ่านช่องทางปกติ แต่ธนาคารยังมีการรุกหนักเรื่อง “ดิจิทัล” มาอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา โดยปัจจุบันมี 2 แอปพลิเคชัน MicroPay หรือ E-wallet ที่ออกแบบมาเพื่อให้เข้าถึงลูกค้าตลาดสนกว่า 6.5 แสนคน หรือ Alpha by Thai Credit โมบายแบงกิ้ง ที่ช่วยลูกค้าผู้ฝากเงิน และปัจจุบันมีมูลค่าธุรกรรมอยู่ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท
ในมุมการเติบโตของธนาคาร ยังสะท้อนผ่านอัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น (ROE) ครึ่งปีแรกอยู่ที่ 15.5% เพิ่มขึ้นจาก 13.3% ในปีก่อนหน้า ซึ่งสูงมากหากเทียบกับค่าเฉลี่ย ROE ของอุตสาหกรรมที่อยู่เพียงแค่ 9.4% เท่านั้น
ดังนั้น หากดูด้าน “คุณภาพสินทรัพย์” (เอ็นพีแอล) มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง จาก 4.5% ในครึ่งปีแรกของปีที่แล้ว มาเป็น 4.3% ในปีนี้ ซึ่งยังคงต่ำกว่าปีก่อนทั้งปีที่อยู่ระดับ 4.4% สวนทางกับอุตสาหกรรมแบงก์ ที่มีกลุ่มเอสเอ็มอีค่อนข้างมาก ที่มีหนี้เสียสูงถึงระดับ 7% ดังนั้น หนี้เสียของไทยเครดิตถือว่าต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญ
หรือมองในมุมต้นทุนความเสี่ยง หรือ Credit Cost ก็ลดลงอย่างมากมาอยู่เพียง 2.08% จาก 3.2% ในครึ่งแรกปีก่อน
“ในปีนี้ธนาคารแทบไม่ได้ขายหนี้เสียเลย ต่างจากปีก่อนที่ขายไปถึง 2 พันล้านบาท ดังนั้น การที่หนี้เสียลดลงอย่างต่อเนื่อง แม้ไม่ได้ขายหนี้เสีย ก็สะท้อนว่าเราบริหารความเสี่ยงได้มีประสิทธิภาพ ภายใต้การควบคุมคุณภาพสินเชื่อ การปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวัง และเข้าไปช่วยลูกค้าทันท่วงทีเมื่อมีปัญหา ที่เป็นผลทำให้ตั้งสำรองหนี้ของธนาคารลดลงต่อเนื่อง”
“รอยย์” ยังฉายภาพต่อว่า การดำเนินธุรกิจของธนาคารมาแล้วกว่าปีครึ่ง นับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ธนาคารสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันได้ต่อเนื่อง หากเทียบกับอุตสาหกรรมธนาคารพาณิชย์ แม้ราคาซื้อขายหรือ Price-to-Book Ratio ของธนาคารจะอยู่เพียง 0.87 เท่า หรือ Price-to-Earnings Ratio อยู่ประมาณ 5.1 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม หรือเทียบกับนอนแบงก์ (Non-Bank)
เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าธนาคารยังคงถูกประเมินค่าต่ำกว่าที่ควรจะเป็น แม้ว่าผลประกอบการ โดยเฉพาะ ROE จะอยู่ในระดับสูงมากถึง 15.5% เหล่านี้มาจากตลาดที่อาจจะยังไม่เข้าใจโมเดลธุรกิจที่เป็นเอกลักษณ์ของไทยเครดิตอย่างถ่องแท้
สวนทางกับ การเติบโตของ “ไทยเครดิต” ที่เติบโตเร็วที่สุดในรอบ 10ปี แม้ในสภาวะที่ธนาคารทั่วไปอยู่ในช่วงชะลอตัวหรือค่อนข้างนิ่ง แต่ “เรา” ยังคงเติบโตอย่างรวดเร็ว หรืออาจเป็นธนาคารเพียงไม่กี่แห่งในประเทศไทยที่สามารถรักษาการเติบโตได้ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
แต่ถึงแม้ธนาคารจะได้รับการยอมรับว่าเป็นธนาคารที่เติบโตเร็วที่สุดในรอบ 10 ปี แต่ตลาดก็ยังคงมองธนาคารไทยเครดิตเหมือนธนาคารทั่วไป จึงประเมินมูลค่าจึงใกล้เคียงกับธนาคารอื่น
ในมุมมองของ “รอยย์” เขาเชื่อว่า “ธนาคารไทยเครดิต” เป็นธนาคารยุคใหม่ที่สร้างความแตกต่างและแข็งแกร่งและจะยังคงมุ่งมั่นส่งมอบผลประกอบการที่ดีอย่างต่อเนื่อง เพื่อพิสูจน์ให้ตลาดเห็นถึงคุณค่า สะท้อนถึงศักยภาพที่แท้จริงของเราออกมาให้เห็น
การเปลี่ยนผ่านตลอดเส้นทางของ “ธนาคารไทยเครดิต” จวบจนวันนี้ ไม่ได้มุ่งเน้นในการทำธุรกิจธนาคารในแบบดั้งเดิมอีกต่อไป แต่เราคือธนาคารรุ่นใหม่ (New Generation Bank) ที่มุ่งสร้างบางสิ่งที่แตกต่าง และแข็งแกร่งในระยะยาว
การเติบโตของ “ไทยเครดิต”ในระยะข้างหน้า ธนาคารจะมุ่งโฟกัสไปที่ 2 ด้านหลัก คือการเติบโตจากพอร์ตหลักทั้งกลุ่มไมโครเอสเอ็มอี และกลุ่ม Underbanked ผู้ที่เข้าถึงบริการทางการเงินต่ำ ควบคู่ไปกับการควบคุมคุณภาพพอร์ตสินเชื่อและบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ
ถัดมาคือ การโฟกัสในด้านการเปลี่ยนผ่านไปสู่ “ดิจิทัล”จากการสร้างนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆเพื่อรองรับโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ในอนาคต มากขึ้น
การตั้งเป้าการเติบโตของ “ไทยเครดิต” ปีนี้ หวังจะเห็นพอร์ตสินเชื่อโตระดับ 10-15% ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถทำได้ตามเป้า โดยครึ่งปีแรกทำได้แล้วที่ 5%
นอกจากนี้ตั้งเป้า NIM ที่ 7.7% เอ็นพีแอลคาดคุมให้ไม่เกิน 4.5% และตั้งเป้าให้ Credit Cost อยู่ในช่วง 2-2.7% ส่วน ROE ยังมองว่าน่าจะคงไต่ระดับสูงสุดของระบบธนาคารได้ต่อเนื่องระดับ 15-20% ในระยะข้างหน้า ขณะที่สินเชื่อปล่อยไปในแต่ละปีอยู่ที่ราว 6 หมื่นล้าน มาจากลูกค้าใหม่เป็นหลัก