‘ภาษีทรัมป์’ ออกฤทธิ์ ดัชนีการผลิตเอเชียหดตัว ‘ไทย-จีน’ โตสวน
ภาษีนำเข้าสหรัฐ กำลังสร้างแรงกดดันต่อ “กิจกรรมภาคการผลิต” ทั่วทั้งเอเชีย จากผลสำรวจภาคเอกชนโดย S&P Global ที่เผยแพร่ในวันนี้ (1 ก.ย.) ยิ่งตอกย้ำความกังวลว่า ผู้ผลิตในเอเชียที่เร่งส่งออกสินค้าไปก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีที่สูงขึ้นจากสหรัฐ อาจต้องเผชิญความยากลำบากในการสร้างกำไร เนื่องจากการส่งออกมีแนวโน้ม “อ่อนแอลง” ในช่วงหลายเดือนข้างหน้าตามการประเมินของนักวิเคราะห์
ผลสำรวจระบุว่า ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และ ไต้หวันซึ่งเป็นฐานการส่งออกสำคัญ ต่างเผชิญกับการหดตัวของกิจกรรมภาคการผลิตในเดือนสิงหาคม สะท้อนถึงความท้าทายที่เอเชียต้องรับมือจากผลกระทบภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
“นี่คือแรงกระแทกสองชั้นสำหรับเศรษฐกิจเอเชีย เนื่องจากต้องเผชิญทั้งภาษีศุลกากรที่สูงขึ้นจากสหรัฐ และการแข่งขันจากการส่งออกสินค้าราคาถูกของจีน” โทรุ นิชิฮามะ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ตลาดเกิดใหม่ของสถาบันวิจัย Dai-ichi Life กล่าว
“เรามีแนวโน้มที่จะเห็นผลกระทบจากภาษีของสหรัฐรุนแรงขึ้นต่อไป โดยประเทศที่พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐ เช่น ไทยและเกาหลีใต้ จะเปราะบางเป็นพิเศษ” เขากล่าวเสริม
ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ ภาคการผลิตของ “ญี่ปุ่น” ที่จัดทำโดย S&P Global อยู่ที่ 49.7 ในเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้นจาก 48.9 ในเดือนกรกฎาคม แต่ยังคง “ต่ำกว่าเส้นแบ่ง 50” ต่อเนื่องเป็นเดือนที่สอง
ขณะที่กิจกรรมโรงงานของ “เกาหลีใต้” ก็หดตัวเช่นกัน โดยดัชนี PMI ของ S&P Global อยู่ที่ 48.3 ในเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้นจาก 48.0 ในเดือนกรกฎาคม แต่ยังคงหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ผลสำรวจยังชี้ด้วยว่า กิจกรรมการผลิตใน “ไต้หวัน” อ่อนแอลงในเดือนสิงหาคม
จีนยังโตได้ ไทยโตเร็วในรอบ 13 เดือน
อย่างไรก็ตาม ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตทั่วไปของ“จีน” จาก RatingDog ซึ่งจัดทำโดย S&P Global ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 50.5 ในเดือนสิงหาคม จากระดับ 49.5 ในเดือนกรกฎาคม สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และ “ทะลุเส้นแบ่ง 50 จุด” ที่ใช้แยกระหว่างการขยายตัวกับการหดตัว
“ที่น่าสังเกตคือ ภาคการผลิตของจีนกำลังช่วยขับเคลื่อนการฟื้นตัว แต่การฟื้นนี้ยังไม่สม่ำเสมอ” เหยา หยู ผู้ก่อตั้ง RatingDog กล่าว
“ด้วยอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังอ่อนแรง คำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่อาจเกินขีดจำกัด และการฟื้นตัวของกำไรที่ล่าช้า ความยั่งยืนของการปรับตัวดีขึ้นครั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่า การส่งออกจะสามารถทรงตัวได้จริงหรือไม่ และอุปสงค์ภายในจะฟื้นตัวได้เร็วเพียงใด” หยูกล่าว
ขณะที่ใน “อินโดนีเซีย” ปริมาณการผลิตและคำสั่งซื้อใหม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน อยู่ที่ 51.5 ส่วนการผลิตของ “ไทย” ขยายตัวในอัตราเร็วที่สุดในรอบ 13 เดือน โดยดัชนี PMI เดือนส.ค. ของไทยขยายตัวที่ 52.7
ด้าน “อินเดีย” มีกิจกรรมการผลิตขยายตัวเร็วที่สุดในรอบกว่า 17 ปีในเดือนสิงหาคม เนื่องจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งหนุนให้การผลิตเติบโต แต่การที่รัฐบาลทรัมป์กำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าอินเดีย เช่น เสื้อผ้า อัญมณี และเครื่องประดับ ไปยังสหรัฐในอัตราสูงถึง 50% อาจกดดันการเติบโตในไตรมาสถัดไป
สำหรับ “เวียดนาม” และ “มาเลเซีย” จะรายงานดัชนี PMI ในช่วงปลายสัปดาห์นี้ ซึ่งจะช่วยให้เห็นภาพรวมของกิจกรรมการผลิตในภูมิภาคได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
“เมื่อมองไปข้างหน้า เราเชื่อว่ามาตรการภาษีจะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง ซึ่งจะเป็นตัวถ่วงเศรษฐกิจเอเชียที่ขับเคลื่อนด้วยการส่งออก” ชิวาน ทันดอน นักเศรษฐศาสตร์ตลาดจาก Capital Economics กล่าว