โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

หุ้น การลงทุน

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 4 ส.ค.68 ‘แข็งค่า‘ หลังตลาดแรงงานสหรัฐชะลอ

กรุงเทพธุรกิจ

อัพเดต 7 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETSธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า "ค่าเงินบาทวันนี้"เปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.48 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นมาก” จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ 32.87 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.10-32.75 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.35-32.60 บาทต่อดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์สัปดาห์ก่อนหน้าเงินบาท (USDTHB) ได้พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น “เร็วและแรง” กลับสู่โซนแนวรับแถว 32.50 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.40-32.88 บาทต่อดอลลาร์) หลังรายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ของสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคม เพิ่มขึ้นเพียง 7.3 หมื่นราย แย่กว่าที่ตลาดคาด อีกทั้ง ยังมีการปรับแก้ไขข้อมูลก่อนหน้า ซึ่งสะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ชะลอลงอย่างเห็นได้ชัด โดยภาพดังกล่าวทำให้ ผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มโอกาสเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุม FOMC เดือนกันยายน ทันที และมองว่า เฟดมีโอกาสราว 44% ที่จะลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้ กดดันให้ ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ต่างปรับตัวลดลง หนุนให้ราคาทองคำ (XAUUSD) สามารถรีบาวด์สูงขึ้นสู่โซน 3,350-3,360 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลง “เร็วและแรง” หลังรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาดและมีการปรับแก้ไขข้อมูลเดิม ที่สะท้อนการจ้างงานที่อ่อนแอ ทำให้ผู้เล่นในตลาดกลับมาเชื่อว่าเฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ย 2-3 ครั้ง ในปีนี้

แนวโน้มค่าเงินบาท

แนวโน้มค่าเงินบาท แม้เราคงมุมมองว่า เงินบาทมีความเสี่ยงทยอยอ่อนค่าลงได้ แต่เรายอมรับว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทได้ชะลอลงและเงินบาทเสี่ยงผันผวนสูงขึ้น พร้อมกับเผชิญ Two-Way risk (เคลื่อนไหวได้ทั้งด้านอ่อนค่าและแข็งค่า) ขึ้นกับทิศทางของเงินดอลลาร์และราคาทองคำ โดยต้องรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด

รวมถึง รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด และบรรยากาศในตลาดการเงินได้อย่างมีนัยสำคัญ

หากผู้เล่นในตลาดยังคงมั่นใจว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ 2-3 ครั้ง ในปีนี้ หรือเพิ่มโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้ ในกรณีที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาด อีกทั้ง บรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ก็เริ่มออกมาแสดงความกังวลต่อแนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐฯ และเริ่มมองเห็นโอกาสการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด เงินดอลลาร์ก็เสี่ยงอ่อนค่าลงต่อ และอาจเห็นการปรับตัวสูงขึ้นของราคาทองคำ หนุนให้ เงินบาทแข็งค่าขึ้นเข้าใกล้โซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับถัดไป 32.10 บาทต่อดอลลาร์) แต่หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด พร้อมกับภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดบ้าง ก็อาจหนุนการรีบาวด์ขึ้นของเงินดอลลาร์ ส่วนราคาทองคำเสี่ยงย่อตัวลง กดดันให้เงินบาทอาจอ่อนค่าเหนือโซนแนวต้านแรก 32.50 บาทต่อดอลลาร์ และมีโอกาสอ่อนค่าทดสอบแนวต้านถัดไป 32.70-32.80 บาทต่อดอลลาร์ ได้

อนึ่ง เมื่อประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะกลับมาอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง หากสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้ชัดเจน (หรืออ่อนค่าทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน)

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์ยังคงเสี่ยงผันผวนสูงและเผชิญ Two-Way risk (เคลื่อนไหวได้สองทิศทาง) ขึ้นกับการปรับมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดของผู้เล่นในตลาด ซึ่งจะขึ้นกับรายงายข้อมูลเศรษฐกิจและมุมมองของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด นอกจากนี้ แนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ BOE ก็อาจส่งผลกระทบต่อเงินดอลลาร์ได้

เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward

สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอติดตาม ผลการประชุม BOE รวมถึง รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด และรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

▪ ฝั่งสหรัฐฯ – แม้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญอาจมีไม่มากนัก ทว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Services PMI) เดือนกรกฎาคม และรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด หลังล่าสุด รายงานข้อมูลการจ้างงานที่ออกมาแย่กว่าคาด ได้ทำให้ผู้เล่นในตลาดกลับมาเชื่อว่า เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ยได้ราว 2-3 ครั้ง ในปีนี้ และอาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีกราว 3 ครั้ง ในปี 2026 ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด อย่างใกล้ชิด ว่าจะมีมุมมองต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด เปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง หลังรับรู้รายงานข้อมูลการจ้างงานล่าสุด และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้

▪ ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ซึ่งบรรดาผู้เล่นในตลาดต่างคาดว่า BOE มีโอกาสถึง 97% ที่จะลดดอกเบี้ย 25bps ในการประชุมครั้งนี้ สอดคล้องกับมุมมองของบรรดานักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ ที่คาดว่า BOE จะลดดอกเบี้ยสู่ระดับ 4.00% ทว่า BOE อาจย้ำจุดยืนเดิมว่า BOE จะลดดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป และดำเนินนโยบายการเงินอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะในช่วงหลัง อัตราเงินเฟ้ออังกฤษทยอยปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งบรรดาผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า BOE มีโอกาสเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีกครั้ง ในช่วงปลายปี ในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจฝั่งยูโรโซน ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (Sentix Investor Confidence) ในเดือนสิงหาคม และรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของยูโรโซน ในเดือนมิถุนายน

▪ ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน และผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาของทางการจีน ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง ดัชนี PMI ภาคการบริการ อัตราเงินเฟ้อ CPI ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) และยอดการค้าระหว่างประเทศ (Exports & Imports) ในเดือนกรกฎาคม ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ผ่านรายงานอัตราการเติบโตของค่าจ้าง (Wage Growth) ในเดือนมิถุนายน ทางฝั่งนโยบายการเงินนั้น บรรดานักวิเคราะห์ประเมินว่า ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 5.50% แต่ RBI อาจเริ่มส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นได้ ตามแนวโน้มการชะลอตัวของอัตราเงินเฟ้อ และแรงกดดันจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ

▪ ฝั่งไทย – ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนกรกฎาคม ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์ต่างมองว่า อัตราเงินเฟ้อของไทยยังมีแนวโน้ม “ติดลบ” ต่อเนื่อง ที่ระดับ -0.5% ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงฐานราคาสินค้าและบริการในปีก่อนหน้าที่อยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา หลังทั้งสองฝ่ายได้มีการตกลงหยุดยิงและเริ่มกระบวนการเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้ง ทว่า ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งยังคงมีอยู่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินไทยได้

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก กรุงเทพธุรกิจ

‘โตโยต้า’ หันพึ่งชิ้นส่วนจีนในไทย หวังลดต้นทุน EV 30% สู้คู่แข่ง

27 นาทีที่แล้ว

จาก ‘พิเชษฐ์’ ถึง ‘แพทองธาร’ - 'ม.144' บรรทัดฐานเสี่ยงรัฐบาล

28 นาทีที่แล้ว

ลาก'ประเทศที่ 3'แก้ปมขัดแย้ง ‘ไทย’เสี่ยงเสียเปรียบ‘กัมพูชา’

47 นาทีที่แล้ว

เศรษฐกิจไทยอ่อนแรงลงมากในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา (1) | เศรษฐศาสตร์+สุขภาพ

50 นาทีที่แล้ว

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความหุ้น การลงทุนอื่น ๆ

ตลาดเริ่มผวา... การจ้างงานสหรัฐฯ ไม่แข็งแกร่งอย่างที่คิด

บล.หยวนต้า

คาด SET สัปดาห์นี้แกว่งตัว จับตาคำชี้แจงปมคลิปเสียง “อุ๊งอิ๊ง”

Wealthy Thai

"กลุ่มมิตซูบิชิ" เสนอซื้อหุ้น TU ที่ราคา 12.50 บาท จำนวน 532 ล้านหุ้น เตรียมขึ้นแท่นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่ง

Share2Trade

GUNKUL เซ็นขายไฟลม 180 MW ดันกำลังผลิตชน 1,260 MW

หุ้นวิชั่น

หุ้นไทยวันนี้ ไซด์เวย์ในกรอบ 1,200-1,230 จุด รอปัจจัยบวกใหม่-จับตาผลประกอบการ บจ.

การเงินธนาคาร

UBA เซ็นงานใหม่ 5 ปี! บริหารระบบน้ำ 847 ล.

หุ้นวิชั่น

THAI หวนเทรดวันแรก! โบรกฯ ชี้ถ้าเปิดต่ำกว่า 7.65 บาท “เป็นโอกาสซื้อ” เตือนยังเสี่ยงรัฐแทรกแซง

Share2Trade

โบรกคาด SET วันนี้จ่อพักตัวในกรอบแนวรับ 1,200-1,210 จุด หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ แย่กว่าคาด

The Better

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...