โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

ดอกเบี้ยนโยบายส่งผ่านสู่แบงก์เร็วกว่าอดีต ฉุด NIM ไตรมาส 3/68

PostToday

อัพเดต 1 วันที่แล้ว • เผยแพร่ 1 วันที่แล้ว

ตามที่วานนี้ (13 ส.ค.2568) ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งที่ 4 ของปี 2568 มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 1.75% เป็น 1.50% ต่อปี

โดยคณะกรรมการฯ เห็นว่านโยบายการเงินสามารถผ่อนคลายเพิ่มเติมได้บ้าง เพื่อให้ภาวะการเงินเอื้อต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจและช่วยบรรเทาภาระของกลุ่มเปราะบาง หลังมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ซ้ำเติมปัญหาเชิงโครงสร้างและขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งเศรษฐกิจบางภาคส่วนมีความเปราะบางมากขึ้น โดยเฉพาะ SMEs ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำจากปัจจัยด้านอุปทาน

ทั้งนี้ “โพสต์ทูเดย์” ได้สอบถามมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ และนักวิเคราะห์ กรณีการลดดอกเบี้ยนโยบายดังกล่าว เพียงพอต่อการกระตุ้นอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มชะลอตัวจากปัจจัยภายในประเทศ และต่างประเทศหรือไม่ รวมทั้งการส่งผ่านนโยบายดอกเบี้ยไปยังธนาคารพาณิชย์ สะท้อนต่อกำไรธนาคารพาณิชย์มากน้อยแค่ไหน

นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การลดดอกเบี้ยนโยบายใน 3 ครั้งที่ผ่านมา คือ วันที่ 16 ต.ค.2567, 26 ก.พ.2568 และ 30 เม.ย.2568 ภาพรวมการส่งผ่านนโยบายประมาณ 43% ใกล้เคียงกับในช่วงโควิด-19 ที่มีการส่งผ่านนโยบายประมาณ 40%

ขณะที่ต้องยอมรับว่าในการลดดอกเบี้ยนโยบาย เมื่อวันที่ 30 เม.ย.2568 การส่งผ่านน้อยกว่า 2 ครั้งก่อนหน้า คือ วันที่ 16 ต.ค.2567 และ 26 ก.พ.2568 ทั้งนี้ โดยปกติการส่งผ่านนโยบายดอกเบี้ยจาก กนง.ไปยังธนาคารพาณิชย์ ใช้เวลาประมาณ 4 ไตรมาส เพราะฉะนั้นการที่ กนง.ลดดอกเบี้ยไป 3 ครั้ง (ต.ค.2567, ก.พ.2568, เม.ย.2568) ยังมีผลค้างท่อรอการส่งผ่านอยู่

ดังนั้นคาดหวังว่าการส่งผ่านจากการลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 1.75% เป็น 1.50% ต่อปี ในครั้งนี้จะมีเพิ่มเติม ซึ่งยังมี room ที่จะส่งผ่านไปได้อยู่ อย่างไรก็ตาม เมื่อดอกเบี้ยต่ำลงไปเรื่อยๆ ประสิทธิผลในการส่งผ่านจะลดลงตามไปด้วย

เมื่อลดดอกเบี้ย สิ่งที่จะเกิดขึ้น คือ ถ้าต้องการให้ดอกเบี้ยเงินกู้ลดลงก็ต้องมีการปรับต้นทุนในฝั่งระดมทุนด้วย ก็คือ เงินฝาก ซึ่งปัจจุบันเงินฝากมีต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่กว่า 1% (รวมทั้งเงินฝากออทรัพย์และเงินฝากประจำ) คาดหวังว่าการปรับดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้ ทางธนาคารพาณิชย์จะมีการปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ตามไปด้วย

นายสักกะภพ กล่าวว่า การส่งผ่านนโยบายดอกเบี้ยนั้น ทางธนาคารพาณิชย์เองก็ต้องการช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบางอยู่แล้ว การส่งผ่านนโยบายไม่ใช่แค่ส่งผ่านนโยบายในแง่ของดอกเบี้ยนโยบายอย่างเดียว แต่ยังมีมาตรการในการช่วยเหลือลูกหนี้ อย่างที่ ธปท.พยายามจะเน้นเรื่องการแก้หนี้ ลดภาระหนี้ของกลุ่มที่มีเปราะบาง เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ต้องช่วยกันเสริม ซึ่งการลดดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้ก็จะช่วยเสริมมาตรการ ที่ ธปท.ทำอยู่ด้วย

ดร.วัชราภรณ์ กันทะพะเยา นักเศรษฐศาสตร์ BLS Wealth Research เปิดเผยว่า จากการประเมินของ กนง. ที่ให้น้ำหนักมากขึ้นต่อความเสี่ยงด้านการเติบโตและเสถียรภาพทางการเงิน ปรับคาดการณ์ว่าปีนี้มีโอกาสลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง อีก 0.25% ในเดือน ต.ค. หรือ ธ.ค.2568 ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายสิ้นปี 2568 อยู่ที่ 1.25% (จากเดิมคาด 1.50%) เพื่อรองรับเศรษฐกิจที่ชะลอตัวแรงจากผลกระทบภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ความเสี่ยงด้านเครดิตจากหนี้ครัวเรือน และการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวที่ต่ำกว่าคาด

มองไปข้างหน้าสู่ปี 2569 คาดว่า กนง. จะลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง อีก 0.25% ในไตรมาส 1/2569 เหลือ 1.00% โดยมีปัจจัยหลัก 3 ประการ

  • ผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ยังต่อเนื่อง – คาดว่าจะเห็นชัดในช่วงไตรมาส 3/2568-ไตรมาส 1/2569 ทำให้การลดดอกเบี้ยในช่วงไตรมาส 4/2568-ไตรมาส 1/2569 มีความเป็นไปได้สูง
  • ข้อจำกัดของนโยบายการเงิน – ระดับดอกเบี้ยที่ต่ำอยู่แล้ว ทำให้การส่งผ่านสู่เศรษฐกิจจริงจำกัด แต่การลดดอกเบี้ยยังมีบทบาทเชิงสัญญาณ
  • แนวโน้มเงินเฟ้อ – เงินเฟ้อทั่วไปปี 2569 น่าจะอยู่ใกล้กรอบล่างของเป้าหมาย ธปท. ที่ 1% แม้จะสูงขึ้นจากฐานต่ำในปี 2568

ทั้งนี้ แนวโน้มการผ่อนคลายนโยบายต่อเนื่องเป็นแรงหนุนต่อราคาพันธบัตรรัฐบาลไทย อย่างไรก็ดี ศักยภาพของนโยบายการเงินเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะลบล้างแรงกดดันเชิงโครงสร้าง เช่น ความอ่อนแอของ SMEs ความสามารถในการแข่งขันภายนอก และการท่องเที่ยวที่ไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ดังนั้นจำเป็นต้องมีมาตรการการคลังเข้ามาหนุนเพื่อรักษาโมเมนตัมเศรษฐกิจ

ส่วนการลดดอกเบี้ยนโยบายที่ผ่านมา ส่งผ่านสู่ธนาคารพาณิชย์ไม่ได้มาก เพราะจริงๆ แล้วก็นับว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายไม่ได้สูงมากอยู่แล้ว ทำให้ขีดความสามารถของนโยบายการเงิน (policy space) มีจำกัด การส่งผ่านไปที่ธนาคารพาณิชย์จึงลดลง ขณะเดียวกัน สถานะลูกหนี้มีความเสี่ยงด้านเครดิตสูงขึ้นด้วย ทำให้ดอกเบี้ยเงินกู้ในตลาดไม่สามารถลดได้มากนัก
นักวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ระบุว่า ธนารคารพาณิชย์ส่งผ่านการปรับลดอัตราดอกเบี้ย M-rate (MLR, MRR, MOR) ไม่มากแต่ในรอบนี้ เห็นธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL นำร่องลดดอกเบี้ย M-rate ลง 0.25% และมีผลวันนี้ (14 ส.ค.2568) ซึ่งถือว่าเร็วกว่ารอบก่อนๆ ทำให้ประเมินว่าผลกระทบในด้านส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) จะมากขึ้นในไตรมาส 3/2568

นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.พาย เปิดเผยกับ “โพสต์ทูเดย์” ว่า ตามที่ กนง. ลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 1.75% เป็น 1.50% ต่อปี ทางทฤษฏี ใช้เวลากว่า 6 เดือน ที่นโยบายการเงินจะส่งผลทางเศรษฐกิจ แต่การลดดอกเบี้ยจะช่วยได้มากแค่ไหนขึ้นกับโครงสร้างเศรษฐกิจด้วย

นอกจากนี้ ภาษีทรัมป์ก็มีส่วนมาก เพราะการส่งออกจะชะลอตัวกระทบต่อรายได้ และการจ้างงานในประเทศ สินค้าต่างชาติเข้ามาแข่งขัน ทั้งของสหรัฐฯ และจีน ดังนั้นไทยก็ต้องปรับตัว และรัฐบาลก็ต้องมีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ และเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ

ส่วนการส่งผ่านนโยบายดอกเบี้ยไปยังธนาคารพาณิชย์นั้น การปรับลดดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่ง ตามพอร์ตของลุูกค้า แต่แนวโน้มจะปรับลดดอกเบี้ยน้อยกว่าดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. โดยผลกระทบต่อธนาคารพาณิชย์น่าจะเป็นลบ เพราะรายได้ดอกเบี้ยรับจะลดลง

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยกับ “โพสต์ทูเดย์” ว่า การลดดอกเบี้ยนโยบายส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจ ทำให้สภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจปรับตัวเพิ่มขึ้น และช่วยลดผลกระทบจากการส่งออกที่ชะลอตัว ซึ่งได้รับผลกระทบจากการจัดเก็บภาษีการค้าของสหรัฐฯ

ส่วนผลกระทบด้านการลงทุน ช่วยให้ Earning Yield Gap ปรับตัวขึ้น และลดต้นทุนทางการเงินของบริษัทจดทะเบียน ช่วยจำกัด Downside ให้กับคาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียนในปี 2568 ซึ่ง Bloomberg Consensus ยังคาดการณ์ที่ราว 90 บาท/หุ้น

ทางด้านการส่งผ่านนโยบายดอกเบี้ยไปยังธนาคารพาณิชย์ โดยปกติธนาคารพาณิชย์ปรับลดดอกเบี้ยตาม กนง. แต่อาจจะช้ากว่า ขณะที่ผลกระทบที่ทำให้ NIM แคบลง คาดว่าธนาคารพาณิชย์จะชดเชยได้จากส่วนอื่น ซึ่งเป็นรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย เช่น ค่าธรรมเนียมขายประกัน และกำไรจากเงินลงทุน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 1.75% เป็น 1.50% ต่อปี ในการประชุม กนง. เมื่อวันที่ 13 ส.ค.2568 ที่ผ่านมา และผลค้างท่อจากการลดดอกเบี้ยนโยบายใน 3 ครั้งก่อนหน้านี้ ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ และธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ ปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ 0.25% ในอัตราเดียวกันกับดอกเบี้ยนโยบาย

ล่าสุด ธนาคารที่มีการปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ 0.25% แล้ว ประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL, ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB, ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB, ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK, ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY, ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB, ธนาคารออมสิน, ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก PostToday

เที่ยวไทยต้องไปต่อ จ่อตั้งศูนย์บริหารความเสี่ยงสู่มาตรฐานสากล

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ผลบอลพรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูล ชนะ บอร์นมัธ 4-2 เอกิติเก้ ซัดได้อีก

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

"แพทองธาร"แจงศาล 21ส.ค.ปมคลิปเสียงฮุนเซน เดิมพันเก้าอี้นายกฯ

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ตลาดหุ้นสหรัฐผันผวน จากความไม่แน่นอนเรื่องการลดดอกเบี้ยของเฟด

3 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความธุรกิจ-เศรษฐกิจอื่น ๆ

บังคับทุกคนยื่นภาษี! "คลัง" เดินหน้าใช้ "Negative Income Tax" เริ่มปี 70 เพื่อคัดกรองสวัสดิการแม่นยำ-เป็นธรรม

สยามรัฐ

เปิดรายชื่อ "สินค้าส่งออกไทย" พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และโอกาสตลาดทดแทน หนีภาษีทรัมป์ 19%

TNN ช่อง16

ทูน่า-กุ้งแพงรับ ‘ภาษีทรัมป์’ ไทยชิงแชร์แย่งตลาดสหรัฐ 3 หมื่นล้าน

ประชาชาติธุรกิจ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาด 3ปัจจัยสำคัญระหว่าง 18-22ส.ค.รวมตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2ปี68

ฐานเศรษฐกิจ

น้ำมันดิบ WTI ลดลง 1.16 ดอลลาร์สหรัฐ ปิดที่ 62.80 ดอลลาร์/บาร์เรล

สยามรัฐ

ดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 34.86 จุด ปิดที่ 44,946.12 จุด

สยามรัฐ

ดีอีจัดโครงการอัปสกิลไอทีแมน 878 อำเภอ

Thairath Money

ปุ๋ย-ยาเคมีดัมพ์ราคาขายไม่ออก ทุเรียน-ผลไม้ยอดร่วงทั้งประเทศ

ประชาชาติธุรกิจ

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...