เศรษฐกิจไทยออกอาการแผ่วยาวถึงปีหน้า
น.ส.ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 1 และไตรมาสที่ 2 ยังคงขยายตัวได้ตามที่ ธปท.คาด โดยไตรมาสแรกเศรษฐกิจไทยขยายตัว 3.2% และไตรมาสที่ 2 ขยายตัวใกล้เคียง 3% แต่เริ่มเห็นการชะลอลงของเศรษฐกิจไทยในเดือน มิ.ย. และชะลอต่อในไตรมาสที่ 3 จากผลกระทบของนโยบายการค้าโลกต่อการส่งออกสินค้า และการผลิตทั้งภาคเกษตรและอุตสาหกรรม ซึ่งส่งต่อรายได้ของแรงงานในส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มชะลอลง เห็นได้จากดัชนีการส่งออกสินค้าด้านอุปสงค์ต่างประเทศ และการค้นหาในเรื่องการท่องเที่ยว และยอดจองตั๋วเครื่องบินที่ลดลง
ทั้งนี้ นอกจากผลของการเจรจาการค้าเพื่อลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไปสหรัฐฯ ของไทยและประเทศต่าง ๆ ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ ธปท.ต้องติดตามเพิ่มเติม คือ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ซึ่งขณะนี้เห็นผลกระทบรุนแรงในพื้นที่ แต่อาจจะมีผลกระทบโดยรวมและต่อเนื่องถึงพัฒนาการและความมั่นใจของนักท่องเที่ยว และยังผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมในภาคเหนือ ซึ่งเหล่านี้เป็นแรงกดดันเพิ่มเติมกับการขยายตัวของเศรษฐกิจในขาต่ำลง และในทางบวกต้องติดตามผลจากมาตรการทางเศรษฐกิจ และช่วยเหลือซ่อมแซมภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบของภาครัฐ
น.ส.ชญาวดี ยังได้กล่าวถึงภาพเศรษฐกิจล่าสุดในเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมาด้วยว่า ชะลอลงจากเดือนก่อน โดยการส่งออกสินค้าชะลอตัวลง 4.8% จากเดือนก่อนหน้า และการผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลง 1.7% ตามการผลิตยานยนต์ สอดคล้องกับยอดขายรถยนต์ในประเทศและส่งออกที่ลดลง และการผลิตอาหารและเครื่องดื่มจากกำลังซื้อในประเทศ กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยวโดยเฉพาะยอดพักโรงแรม และร้านอาหารลดลงตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง 2.8% และรายรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง 2.1% การบริโภคภาคเอกชนลดลงเล็กน้อย 0.3% โดยระยะข้างหน้าการบริโภคมีแรงกดดันจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลงต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี การใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวจากทั้งการใช้จ่ายของรัฐบาลกลางและการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 0.7% ตามการลงทุนในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์
ด้านศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ Krungthai COMPASS ประเมินสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาว่า จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยผ่าน 3 ช่องทางหลัก ได้แก่ การค้าชายแดน การท่องเที่ยว และการลงทุน โดยคาดว่าจะมีมูลค่าความเสียหายอย่างน้อยราว 17,000 ล้านบาทต่อเดือน แบ่งเป็น 1. การค้าชายแดน คาดว่า การปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา 5 ด่านสำคัญจะทำให้มูลค่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาหายไปราว 14,011 ล้านบาทต่อเดือน แบ่งเป็นมูลค่าการส่งออกชายแดนและมูลค่าการนำเข้าชายแดนหายไปราว 11,410 และ 2,601 ล้านบาทต่อเดือน ตามลำดับ
โดยด่านอรัญประเทศ จ.สระแก้ว คาดได้รับผลกระทบมากที่สุด กลุ่มสินค้าส่งออกที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ ได้แก่ กลุ่มเครื่องดื่ม ส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ และเครื่องยนต์สันดาปภายใน ส่วนกลุ่มสินค้านำเข้า ได้แก่ ผักและของปรุงแต่งจากผัก โดยเฉพาะมันสำปะหลัง
2.ผลกระทบด้านการท่องเที่ยว ความเสียหายด้านการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวกัมพูชาที่เข้ามาในไทยที่ลดลงและจากนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติที่ไม่สามารถไปท่องเที่ยวใน 4 จังหวัด ที่มีการปะทะคาดมีมูลค่าอย่างน้อยราว 2,970 ล้านบาทต่อเดือน
3.การลงทุน หากสถานการณ์ยกระดับความรุนแรงและขยายวงกว้างขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยที่เข้าไปทำธุรกิจในกัมพูชา โดยในปัจจุบันมีจำนวนมากกว่า 100 ราย มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 50,000 ล้านบาท โดยธุรกิจที่อาจได้รับผลกระทบสูง เช่น ธุรกิจเครื่องดื่ม และค้าปลีก ทำให้ในระยะสั้น ผู้ประกอบการนำเข้าส่งออกอาจพิจารณาเปลี่ยนเส้นทางและรูปแบบ (mode) ในการขนส่งสินค้า และในระยะถัดไป อาจพิจารณาหาตลาดเพื่อทดแทนหรือกระจายความเสี่ยงจากตลาดกัมพูชา
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : เศรษฐกิจไทยออกอาการแผ่วยาวถึงปีหน้า
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- “ธนกร” หนุน “วิทัย” คุม ธปท. ชี้เหมาะสม เป็นประโยชน์ต่อการวางนโยบายด้านการเงินช่วงนี้
- LH Bank คงเป้าสินเชื่อปี 68 โต 7-8% ชู SME เน้นคุม NPL ไม่เกิน 3% ขัดแย้ง “กัมพูชา” กระทบน้อย
- “พิชัย” เชื่อ ร่วมงานผู้ว่าฯ แบงก์ชาติคนใหม่ ราบรื่น ชี้หนี้เรื่องเร่งด่วน ต้องรีบแก้ไข
- เศรษฐกิจไทยออกอาการแผ่วยาวถึงปีหน้า
- “อัครเดช” ย้ำอย่าเอาผลประโยชน์ของเกษตรกรแลกภาษีทรัมป์
ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : www.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath