แพทย์แนะวิธีป้องกัน “พิษสุนัขบ้า” เมื่อติดเชื้อยังไร้ทางรักษา อันตรายถึงชีวิต
นายแพทย์สมคิด อุดมกิจมงคล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ โรงพยาบาลเอกชนในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ กล่าวว่า จากกรณีพบการระบาดของโรคพิษสุนัขบ้าในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ พบผู้เสียชีวิต 7 ราย เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนเกิดความกังวลใจอย่างมาก
โดยโรคพิษสุนัขบ้า (Rabies) คือโรคติดเชื้อไวรัสที่ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษา เมื่อได้รับเชื้อแล้วจะไม่หายขาด หากแสดงอาการแล้วจะอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต พบได้ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด ไม่ใช่แค่สุนัขเท่านั้น แต่ยังรวมถึงแมว กระรอก หรือค้างคาวด้วย โดยเชื้อจะเข้าสู่คนผ่านการถูกกัด ข่วน หรือถูกเลียแผลที่มีรอยถลอก
“เมื่อเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายแล้วจะใช้เวลาฟักตัวและเดินทางไปตามเส้นประสาทสู่สมอง หลังจากนั้นจะเริ่มแสดงอาการทางระบบประสาท เช่น ปวดหัว มีไข้ อ่อนเพลีย และมีอาการรุนแรงในระยะสุดท้าย เช่น กลัวน้ำ กล้ามเนื้อกระตุก เป็นอัมพาต และเสียชีวิต ดังนั้นการป้องกันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด”
การป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
• ฉีดวัคซีนป้องกันให้สัตว์เลี้ยง: เจ้าของสัตว์เลี้ยงควรพาสุนัขและแมวไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าเป็นประจำทุกปี เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยง
• ไม่สัมผัสสัตว์จรจัด: หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้หรือเล่นกับสุนัขหรือแมวที่ไม่คุ้นเคย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่พบการระบาด
• สังเกตอาการสัตว์: หากสัตว์เลี้ยงของตนเองมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป เช่น หงุดหงิดง่าย น้ำลายยืดผิดปกติ ควรเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดและรีบนำไปพบสัตวแพทย์
สิ่งที่ต้องทำทันทีเมื่อถูกสัตว์กัดหรือข่วน
หากถูกสัตว์กัด ข่วน หรือถูกเลียแผล ควรรีบปฐมพยาบาลเบื้องต้นและเข้ารับการรักษาโดยด่วนที่สุด ดังนี้
- ล้างแผลทันที: ให้รีบล้างแผลด้วยน้ำสะอาดและสบู่หลายๆ ครั้งนานประมาณ 10-15 นาที จากนั้นใส่ยาฆ่าเชื้อ เช่น ทิงเจอร์ไอโอดีน หรือแอลกอฮอล์
- รีบไปพบแพทย์: การฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าหลังถูกกัดเป็นสิ่งสำคัญที่สุดและต้องทำทันที เพราะยิ่งฉีดเร็วเท่าไหร่ โอกาสรอดชีวิตก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น
- กักบริเวณสัตว์ที่กัด: หากเป็นไปได้ ให้สังเกตอาการของสัตว์ที่กัดเป็นเวลา 10 วันเพื่อดูว่ามีอาการผิดปกติหรือไม่
ดังนั้น การฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าและรีบเข้ารับการรักษาอย่างรวดเร็ว จะช่วยให้ปลอดภัยจากโรคพิษสุนัขบ้าได้ดีที่สุด