FPI รับเต็มอินเดียลดภาษี เร่งผลิตปั๊มรายได้เท่าตัว
#FPI #ทันหุ้น – FPI โดดรับอินเดียเข้มนโยบายส่งเสริมใช้สินค้าในประเทศ เล็งปรับอัตราลดภาษีลง หนุนออเดอร์บริษัทร่วมทุนพุ่งแรง เร่งอัพกำลังผลิตรองรับต้นเดือนกันยายนนี้ ดันยอดขายต่อเดือนพุ่งขึ้นเท่าตัวทันที ชี้เดิมกลยุทธ์ถูกทาง หลังบริษัทย่อยใน-นอก ทำผลงานดีขึ้น ปักเป้ารายได้ทั้งปีแตะ 3 พันล้านบาท
นายสมพล ธนาดำรงศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ FPI เปิดเผยกับ“ทันหุ้น” ว่า สถานการณ์ธุรกิจในอินเดียผ่านบริษัทร่วมทุนคือ FPI Auto Parts India Private Limited ถือเป็นเชิงบวกอย่างชัดเจนภายหลังจากรัฐบาลอินเดียมีนโยบายเร่งส่งเสริมการใช้สินค้าในประเทศมากขึ้น (Made in India) อย่างเต็มรูปแบบ และได้บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งภาษีและมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี หลังจากที่รัฐบาลอินเดียเผยแผนที่จะปรับลดอัตราภาษีสินค้า และ บริการ (GST) เป็น 5% และ 18% โดยยกเลิกอัตราภาษีที่ 12% และ 28%
@อินเดียเติบโต
ดังนั้นการใช้สินค้าใดๆ ที่ผลิตภายในประเทศอินเดียจึงมีความสะดวกและไม่ยุ่งยากเชิงขั้นตอน เมื่อเทียบกับสินนำเข้าอย่างมาก สอดรับกับบริษัทร่วมทุนที่มีฐานอยู่ในอินเดีย ซึ่งให้บริการออกแบบผลิตภัณฑ์และผลิตชิ้นส่วนยานยนต์พลาสติก กำลังอยู่ระหว่างเพิ่มกำลังการผลิตอย่างมากสืบเนื่องจากได้รับคำสั่งซื้อจำนวนมาก ยอดขายรวมต่อเดือนสำหรับไตรมาส 1 และ 2 ที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 40 ล้านรูปี และคาดการณ์ว่าในไตรมาส 3 และ 4 โดยเฉพาะตั้งแต่เดือนกันยายนที่จะถึงนี้ ยอดขายเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นเป็น 80-100 ล้านรูปีต่อเดือนได้
สำหรับสัดส่วนยอดขายในอินเดียปีนี้ คาดการณ์ประมาณ 900 ล้านรูปี หรือประมาณ 350-380 ล้านบาท ยังไม่มากนักเทียบกับเป้าหมายรายได้รวมของบริษัทในปี 2568 ไว้ที่ 3,000 ล้านบาท
“มีโปรเจ็กต์ใหม่ แม่พิมพ์เกือบ 50 ตัว ที่จะเริ่มในเดือนกันยายน บริษัทกำลังเร่งดำเนินการให้สายการผลิตเสร็จสิ้นภายในสิ้นเดือนนี้ เพื่อรองรับความพร้อมในต้นเดือนหน้า ซึ่งวอลุ่มงานจะสูงมากๆ บางไลน์ผลิตเสร็จเมื่อไหร่ก็จะเดินเครื่องทันทีใช้งานเต็ม 100% หรืออาจจะ 120% ด้วยซ้ำ”
@พิจารณาลงทุนเพิ่ม
บริษัทมองเห็นความเป็นไปได้ที่สัดส่วนรายได้จากอินเดียอาจเพิ่มสูงขึ้นในปีถัดๆ ไป ซึ่งที่ผ่านมาตลอด 2 ปี การเข้าไปลงทุนต่างๆ ในสายการผลิตใหม่และแม่พิมพ์น่าจะเพียงพอรองรับการเติบโตได้ถึงปี 2570 แต่เนื่องจากการใช้ประโยชน์โรงงานที่มีอยู่ 2 ไร่ใกล้เต็มพื้นที่แล้ว บริษัทจึงอาจพิจารณาซื้อที่ดินเพิ่มตามความเหมาะสมรองรับการขยายโรงงานในระยะต่อไป
นายสมพล ธนาดำรงศักดิ์ ยังเปิดเผยก่อนหน้านี้ด้วยว่า ผลการดำเนินงานที่อินเดียวในช่วง 2568 – 2570 คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 2,000 ล้านรูปี หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 740 ล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทในกลุ่มอื่นๆ ก็จะช่วยผลักดันการเติบโต เช่น RBS Plastic Innovation Company ซึ่งเริ่มดำเนินธุรกิจเมื่อกลางปี 2567 สร้างรายได้ 24.6 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 0.3 ล้านบาท ในไตรมาสนี้ ภายใต้กลยุทธ์การควบคุมต้นทุนและการวางรากฐานเพื่อรองรับการขยายตัวในอนาคต ส่วนTharwat Alqata Industries Company Limited Liability ในประเทศซาอุดีอาระเบีย อยู่ระหว่างการขอใบอนุญาตก่อสร้างโรงงานและเตรียมเริ่มการก่อสร้างในเดือนกันยายน 2568 โดยคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในไตรมาส 3/2569 ซึ่งจะช่วยเสริมกำลังการผลิตและขยายตลาดในภูมิภาคตะวันออกกลางอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้การเติบโตของบริษัทย่อยในประเทศเริ่มกลับมามีกำไร และบริษัทย่อยในต่างประเทศมีผลขาดทุนลดลง แสดงถึงความสามารถในการปรับแผนและควบคุมการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด