โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

ข้าวโพดสหรัฐ ความกังวลในเรื่องความปลอดภัยต่อผู้บริโภค

กรุงเทพธุรกิจ

อัพเดต 8 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และ กากถั่วเหลือง เป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ของประเทศไทย โดยผลการเจรจาในเบื้องต้น ไทยต้องนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 3 ล้านตัน กากถั่วเหลือง 3 ล้านตัน และกากข้าวโพดอีก 1 ล้านตันจากสหรัฐฯ

ส่งผลให้ชาวไร่ข้าวโพดเกิดความกังวลว่าอาจทำให้ราคาข้าวโพดในประเทศตกต่ำและการผลิตจะลดลง

ที่สำคัญ คือ ข้าวโพดจากสหรัฐฯเกือบทั้งหมดเป็นข้าวโพดดัดแปลงพันธุกรรม และรวมถึงถั่วเหลือง ที่ยังมีความกังวลในเรื่องความปลอดภัยต่อผู้บริโภค

ในความเป็นจริง การนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และ กากถั่วเหลือง ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ซึ่งมีความต้องการสูง

ดังจะเห็นได้จากข้อมูลประมาณการ ปริมาณความต้องการอาหารสัตว์ในปี พ.ศ. 2568 อยู่ที่ 21.8 ล้านตันมีความต้องการใช้ข้าวโพดอยู่ที่ 9.2 ล้านตัน แต่ผลผลิตข้าวโพดในประเทศมีเพียง 4.59 ล้านตัน หรือผลิตได้เพียงร้อยละ 49.89 (ปี 2567/2568) และมีความต้องการใช้กากถั่วเหลืองอยู่ที่ 4.6 - 4.7 ล้านตัน

แต่กากถั่วเหลืองที่ผลิตจากเมล็ดถั่วเหลืองในประเทศมีเพียง 0.010 - 0.012 ล้านตัน หรือไทยผลิตได้เพียงร้อยละ 2.17 ดังนั้น การนำเข้าข้าวโพด และกากถั่วเหลือง เพื่อชดเชยส่วนที่ขาดจึงเป็นสิ่งจำเป็น

ทั้งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และกากถั่วเหลือง จัดเป็นวัตถุดิบหลักที่สำคัญในการผลิตอาหารสัตว์ ซึ่งมีการนำเข้ามาเป็นเวลานานแล้ว

จากข้อมูลในปี พ.ศ. 2567 มีการนำเข้าข้าวโพด จำนวน 2.01 ล้านตัน ส่วนใหญ่นำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน คือเมียนมา ลาว และกัมพูชา มีส่วนน้อยนำเข้ามาจากสหรัฐอเมริกา

ขณะที่กากถั่วเหลือง จำนวน 2.83 ล้านตัน ส่วนใหญ่มาจาก บราซิล สหรัฐอเมริกา และ อาร์เจนตินา

ทั้งนี้ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และกากถั่วเหลืองที่นำเข้า เกือบทั้งหมดจะเป็นพืชดัดแปลงพันธุกรรม และปลูกอยู่ในแหล่งปลูกเพื่อการส่งออกเป็นส่วนใหญ่

ข้อมูลล่าสุดในปี พ.ศ. 2566 ทั่วโลกมีพื้นที่ปลูกถั่วเหลืองดัดแปลงพันธุกรรมมากที่สุดที่ 630.62 ล้านไร่ รองลงมาคือข้าวโพดดัดแปลงพันธุกรรมซึ่งมีพื้นที่ 433.12 ล้านไร่

สมาคมเทคโนโลยีชีวภาพสัมพันธ์เป็นสมาคมที่ไม่แสวงหาผลกำไร ทำหน้าที่ให้ข้อมูลข่าวสารบนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับเทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่ ความปลอดภัยทางชีวภาพ และรวมถึงการกำกับดูแลสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเรื่องความปลอดภัยต่อผู้บริโภค ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้

อาการแพ้ : ไม่มีอาหารใดที่ปลอดภัย 100% ไม่ว่าจะเป็นอาหารทั่วไป อาหารดัดแปลงพันธุกรรม หรืออาหารออร์แกนิก และการแพ้อาหารส่วนใหญ่เกิดจากสารก่อภูมิแพ้ที่พบในอาหารเพียง 9 ชนิด ได้แก่ ถั่วลิสง ถั่วเปลือกแข็ง นม ไข่ ข้าวสาลี ถั่วเหลือง หอย งา และปลา

กรณีถั่วเหลืองที่พบว่าเป็นอาหารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ และมีจำหน่ายในรูปแบบของอาหารดัดแปลงพันธุกรรม หากแพ้อาหารที่ทำจากถั่วเหลืองปกติก็จะแพ้อาหารที่ทำจากถั่วเหลืองดัดแปลงพันธุกรรม และหากไม่แพ้อาหารที่ทำจากถั่วเหลืองปกติก็จะไม่แพ้อาหารที่ทำจากถั่วเหลืองดัดแปลงพันธุกรรม

ความเป็นพิษ : จากข้อมูลของขององค์การอาหารและยา สหรัฐอเมริกา สรุปแล้วว่าอาหารดัดแปลงพันธุกรรมไม่มีพิษต่อมนุษย์ แม้แต่สารบีทีในข้าวโพดดัดแปลงพันธุกรรมบางสายพันธุ์ ก็จะมีฤทธิ์เพียงต้านทานแมลงศัตรูพืชเท่านั้น

การดื้อยาปฏิชีวนะ : พืชดัดแปลงพันธุกรรมไม่มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับการดื้อยาของมนุษย์ หลักฐานทางวิทยาศาสตร์บ่งชี้ว่ายีนจากพืชเหล่านี้ไม่ได้ถ่ายทอดสู่มนุษย์หรือสัตว์โดยตรงจนทำให้เกิดการดื้อยา และมีโอกาสต่ำมากที่แบคทีเรียในลำไส้จะได้รับยีนเหล่านี้

ตามข้อมูลขององค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริการะบุชัดเจนว่า ดีเอ็นเอจากอาหารทั้งอาหารปกติและอาหารดัดแปลงพันธุกรรม ส่วนใหญ่จะถูกย่อยสลายในระบบย่อยอาหาร

การเปลี่ยนแปลงคุณค่าทางโภชนาการ : ก่อนการนำไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ จะมีการตรวจสอบปริมาณสารอาหารโดยใช้หลัก “คุณค่าทางโภชนาการที่เปรียบเทียบได้”

งานวิจัยจำนวนมากแสดงให้เห็นว่าอาหารดัดแปลงพันธุกรรมไม่ก่อให้เกิดผลกระทบด้านลบ มีความปลอดภัยและมีคุณค่าทางโภชนาการเทียบเท่ากับอาหารที่ไม่ได้ดัดแปลงพันธุกรรม

อีกประการสำคัญคือ ก่อนที่อาหารดัดแปลงพันธุกรรมจะถูกจำหน่ายเชิงพาณิชย์ จะมีการตรวจสอบความปลอดภัยอย่างเข้มงวดจากหน่วยงานกำกับดูแลด้านสุขภาพของรัฐบาล

ผลการตรวจสอบจำนวนมากกว่า 2,000 ชิ้นแสดงให้เห็นว่า อาหารดัดแปลงพันธุกรรมที่มีจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ ไม่มีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดอาการแพ้ หรือมีความเป็นพิษ เมื่อเปรียบเทียบกับอาหารที่ไม่ได้มาจากการดัดแปลงพันธุกรรม

รวมทั้งไม่มีการดื้อยาปฏิชีวนะและไม่มีผลกระทบด้านลบที่อาจเกิดขึ้นต่อปริมาณสารอาหาร กล่าวโดยสรุปได้ว่า “ไม่พบสิ่งใดบ่งชี้ว่าอาหารดัดแปลงพันธุกรรมเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพ”

เนื่องจากไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่บ่งชี้ว่าอาหารดัดแปลงพันธุกรรมที่วางจำหน่ายในเชิงพาณิชย์มีความเสี่ยงต่อสุขอนามัยของมนุษย์

องค์กรทางวิทยาศาสตร์อิสระกว่า 275 แห่งทั่วโลก และผู้ได้รับรางวัลโนเบลกว่า 110 คน จึงได้สรุปเป็นฉันทามติว่า อาหารดัดแปลงพันธุกรรมมีความปลอดภัยในการรับประทานเช่นเดียวกับอาหารที่ไม่ได้ดัดแปลงพันธุกรรม./

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก กรุงเทพธุรกิจ

ซิตี้ เรียลตี้–สไวร์ ผนึกสร้างลักชัวรีคอนโดบนที่ดินย่านวิทยุ

47 นาทีที่แล้ว

ซินโครตรอน ตรวจธาตุทองโบราณ หลุมศพโนนพลล้านโคราช แหล่งโบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์

3 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความไอที ธุรกิจอื่น ๆ

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...
Loading...
Loading...
รีโพสต์ (0)
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...