เวที ASEW 2025 สนพ.เผย สมาร์ทกริดไทยคืบหน้า 5 ด้าน รับพลังงานหมุนเวียนแปรปรวน
ในงาน ASIA Sustainable Energy Week 2025 (ASEW) ที่จัดโดย อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ร่วมกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ เช่น กระทรวงพลังงาน และสมาคมเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานไทย (TESTA) ระหว่างวันที่ 2–4 กรกฎาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) ภายใต้แนวคิด “Empowering Digital Transformation in Sustainable Energy Towards Net Zero” มีเป้าหมายผลักดันประเทศไทยเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมพลังงานสะอาดของภูมิภาค
“สาร์รัฐ ประกอบชาติ” รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) หรือ Energy Policy and Planning Office (EPPO) ได้บรรยายในหัวข้อ Progress in Thailand's Smart Grid Plan เผยภาพรวมของแผนสมาร์ทกริดของประเทศไทย และเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) ในการรองรับระบบพลังงานที่เปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานหมุนเวียนและพลังงานกระจายตัว
ทำไมต้องสมาร์ทกริด?
“สาร์รัฐ” อธิบายว่า ความจำเป็นของสมาร์ทกริดเกิดจากการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์พลังงานหลายประการ ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ยุคที่การผลิตไฟฟ้าจะพึ่งพาพลังงานหมุนเวียนเป็นหลัก ซึ่งเป็นพลังงานที่ไม่เสถียร นอกจากนี้ การผลิตไฟฟ้ากำลังเปลี่ยนไปสู่แหล่งผลิตไฟฟ้าแบบกระจายศูนย์ (Distributed Energy Resources) ซึ่งกำลังกลายเป็นส่วนสำคัญของระบบจ่ายไฟฟ้าของประเทศ
ด้านความต้องการการใช้ไฟฟ้ายังคงเติบโตอย่างรวดเร็ว และลักษณะการใช้ก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพื่อบริหารจัดการความท้าทายด้านอุปทานและอุปสงค์เหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงจำเป็นต้องมีระบบโครงข่ายไฟฟ้าแห่งชาติที่สามารถทำงานได้อย่างชาญฉลาด
“แผนสมาร์ทกริดไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่คือยุทธศาสตร์ระดับประเทศ ที่จะวางรากฐานให้ระบบไฟฟ้าของประเทศไทยมีความยืดหยุ่น ปลอดภัย และยั่งยืนในระยะยาว”
กรอบดำเนินงาน 3 ด้าน
“สาร์รัฐ” กล่าวว่า เป้าหมายหลักของการพัฒนาสมาร์ทกริดคือการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ให้ “ความยืดหยุ่น” และ “ความมั่นคง” แก่ระบบไฟฟ้าของประเทศ ซึ่งจะต้องดำเนินการผ่าน 3 แนวทางหลัก ได้แก่
- การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานหลัก ประกอบด้วยโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน การสื่อสาร และดิจิทัล ที่ทำงานร่วมกันได้อย่างบูรณาการ
- การออกแบบกลไกตลาดและการตั้งราคาที่เหมาะสม เพื่อส่งเสริมระบบพลังงานดิจิทัล พลังงานกระจาย และการบูรณาการเทคโนโลยีใหม่ๆ จำเป็นต้องมีโมเดลธุรกิจและโมเดลตลาดใหม่รองรับการเปลี่ยนผ่านนี้
- การปรับปรุงกฎหมายและข้อบังคับ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานสมาร์ทกริดอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนอย่างยั่งยืน
แผนแม่บทสมาร์ทกริด 4 ระยะ
ประเทศไทย ได้จัดทำแผนแม่บทสมาร์ทกริดระยะยาวตั้งแต่ปี 2558 ถึงปี 2579 ซึ่งถือเป็นแผนยุทธศาสตร์หรือแผนภาพรวม (Blueprint) สำหรับการพัฒนาระบบสมาร์ทกริดในระดับประเทศในระยะยาว โดยในแผนนี้แบ่งออกเป็น 4 ระยะหลัก ได้แก่
- ระยะเตรียมการ (พ.ศ. 2558–2559) เป็นช่วงที่มุ่งเน้นการจัดทำนโยบายและแผนสนับสนุนเพื่อวางรากฐานให้พร้อมรองรับการพัฒนาสมาร์ทกริดในอนาคต
- ระยะสั้น (พ.ศ. 2560–2564) เป็นช่วงที่มีการดำเนินงานแล้ว โดยมีเป้าหมายคือการพัฒนาโครงการนำร่องเพื่อทดสอบความเป็นไปได้และความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจของระบบสมาร์ทกริด
- ระยะกลาง (พ.ศ. 2565–2574) ซึ่งเป็นช่วงเวลาปัจจุบัน มีเป้าหมายหลักคือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับระบบสมาร์ทกริดทั่วประเทศ เพื่อรองรับเป้าหมายการดำเนินงานในอนาคต
- ระยะยาว (พ.ศ. 2575–2579) จะเป็นช่วงที่ขยายขอบเขตสู่การนำระบบสมาร์ทกริดไปใช้เต็มรูปแบบในระดับประเทศ
เปิดรายงานความคืบหน้าแผนระยะปัจจุบัน
“สาร์รัฐ” กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายใต้ระยะกลาง (ระยะปัจจุบัน) แบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ ระยะเตรียมการ เพื่อจัดสร้างโครงสร้างพื้นฐานรองรับการบริหารจัดการระบบตอบสนองความต้องการไฟฟ้า (Demand Response: DR) ในระดับพาณิชย์ และระยะดำเนินการเต็มรูปแบบ เพื่อขยายผลและนำระบบ DR ไปสู่การใช้งานในระดับประเทศอย่างครบวงจร
ทั้งนี้ ภายใต้ระยะกลาง แผนแม่บทได้กำหนด 5 เสาหลักสำคัญในการดำเนินงาน ดังนี้
1. การตอบสนองความต้องการและระบบบริหารจัดการพลังงาน (Demand Response & EMS) มีเป้าหมายในการพัฒนาโครงการอัตโนมัติและกึ่งอัตโนมัติที่สามารถรองรับผู้ใช้ไฟฟ้าทุกกลุ่มอย่างมีประสิทธิภาพ
- ความคืบหน้า: โครงการนำร่องประสบความสำเร็จในช่วงปี พ.ศ. 2565 ถึง 2566 โดยการไฟฟ้าทั้งสามแห่ง (กฟผ., กฟภ., กฟน.) โครงการนำร่องเหล่านี้มีผู้เข้าร่วม 76 ราย สามารถลดการใช้ไฟฟ้าได้ถึง 38 เมกะวัตต์ (MW) ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่เป็นบวกอย่างมาก
- ขั้นตอนต่อไป: สำรวจโครงการนำร่องเพิ่มเติมสำหรับโปรแกรมที่ใหญ่ขึ้น และการบูรณาการ DR เข้ากับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าในระยะยาว โดยมีเป้าหมาย 1,000 MW ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ฉบับร่าง
2. ระบบพยากรณ์พลังงานหมุนเวียน (Renewable Forecasting System) มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีการพยากรณ์พลังงานสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP), ผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) รวมถึงกลุ่มผู้บริโภคบางส่วน
- ความคืบหน้า: กฟผ. ประสบความสำเร็จในการ จัดตั้งศูนย์พยากรณ์ที่สามารถพยากรณ์โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และลมในหมวด SPP กฟผ. ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบพยากรณ์สำหรับ VSPP ด้วย
- ขั้นตอนต่อไป: มุ่งเน้นการพัฒนาระบบพยากรณ์ให้ครอบคลุมผู้ผลิตทุกระดับ
3. การพัฒนาไมโครกริดและโปรซูเมอร์ (Microgrid and Prosumers) จัดตั้งระบบไมโครกริดสำหรับพื้นที่ห่างไกลและพื้นที่ที่ไม่มีโครงข่ายไฟฟ้า ขยายไปยังผู้ใช้เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม
- ความคืบหน้า: การไฟฟ้าทั้งสามแห่งได้ ดำเนินการโครงการนำร่องไมโครกริดแล้วสี่โครงการ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่นอกโครงข่ายและบางพื้นที่เชิงพาณิชย์/ที่อยู่อาศัย
4. ระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System – ESS) มีเป้าหมายในการติดตั้งระบบ ESS ทั้งในระดับสาธารณูปโภค และระดับผู้ใช้ไฟฟ้าโดยตรง เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของระบบ
- ความคืบหน้า: กฟผ. ได้ ติดตั้ง ESS ในสถานีไฟฟ้าเพื่อนำร่องการบริหารจัดการโครงข่าย กฟภ. และ กฟน. ก็ได้ติดตั้ง ESS เป็นโครงการนำร่องในสถานีไฟฟ้าของตนเองเช่นกัน
- ขั้นตอนต่อไป: มีเป้าหมายเพื่อประเมินการใช้งาน ESS และขยายการนำไปใช้ในวงกว้าง แผนในอนาคตจะเร่งศักยภาพของธุรกิจ ESS ในประเทศไทยผ่านการศึกษา นโยบาย และการสนับสนุนโครงการ
5. การบูรณาการระบบรถยนต์ไฟฟ้า (EV Integration) สนับสนุนการใช้และการเชื่อมโยง EV เข้ากับโครงข่ายสมาร์ทกริดอย่างเป็นระบบ
- ความคืบหน้า: สนพ. ได้ดำเนินการ ศึกษาการจัดการข้อมูล EV เสร็จสิ้นแล้ว กฟผ. ได้ทดสอบเทคโนโลยี Vehicle-to-Grid (V2G) ในรูปแบบนำร่อง กฟน. กำลังศึกษาเพื่อพัฒนาระบบชาร์จ EV อัจฉริยะของตนเอง
- ขั้นตอนต่อไป: โครงการนำร่องจะยังคงดำเนินต่อไปเพื่อทดสอบความเป็นไปได้และความคุ้มค่า
ประโยชน์มหาศาลต่อประเทศไทย
“สาร์รัฐ” ระบุว่า ในระยะกลางจะเน้นการตอบสนองด้านโหลด, การพยากรณ์พลังงานหมุนเวียน, และ ESS มากขึ้น โดยมีแผนสำหรับการศึกษาเพิ่มเติม โครงการนำร่อง และการสร้างรูปแบบธุรกิจสำหรับเทคโนโลยีเหล่านี้ หากดำเนินการตามแผนอย่างประสบความสำเร็จ สมาร์ทกริดคาดว่าจะนำมาซึ่งประโยชน์มหาศาลต่อประเทศไทย เช่น
- เพิ่มความมั่นคงและความยืดหยุ่นของระบบไฟฟ้า
- เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ผ่านการลดต้นทุนค่าไฟฟ้าโดยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐาน
- ปรับปรุงความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม เนื่องจากสมาร์ทกริดรองรับและสนับสนุนการผลิตพลังงานสะอาดได้มากขึ้น
- สร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ เช่น ธุรกิจผู้รวบรวมโหลด (load aggregator) และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบูรณาการ EV
“นี่คือโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อประเทศไทยในศตวรรษแห่งพลังงานสะอาด” สาร์รัฐกล่าวทิ้งท้าย