สั่ง สปสช.ดูแลสิทธิบัตรทอง พื้นที่เสี่ยงชายแดนไทย-กัมพูชา อุทกภัยภาคเหนือ
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และประธานคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย - กัมพูชา รวมถึงสถานการณ์อุทกภัยในภาคเหนือ ทำให้มีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง คนพิการ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง และผู้ป่วยทั่่วไปในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ทำให้อาจไม่ได้รับความสะดวกในการเข้ารับบริการสาธารณสุขในหน่วยบริการในพื้นที่ตามปกติได้
ตนจึงได้มอบสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ให้ทำหนังสือด่วนที่สุด เรื่องซักซ้อมทำความเข้าใจกับหน่วยบริการในการเข้ารับบริการ และการเบิกจ่ายชดเชยค่าบริการสาธารณสุขในสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย - กัมพูชา หรือสถานการณ์การเกิดอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ ไปยังหน่วยบริการ รวมถึงทำความเข้าใจกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในพื้นที่สถานการณ์ เพื่อให้บริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพระดับท้องถิ่น (กองทุน กปท.) เพื่อดูแลประชาชนในพื้นที่เสี่ยงได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ
ซึ่งจะเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้ป่วยที่จะต้องได้รับบริการรักษาพยาบาลต่อเนื่องโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเหมือนเดิม รวมถึงทำให้หน่วยบริการมีความมั่นใจในขั้นตอนการให้บริการและกระบวนการเบิกจ่ายชดเชยค่าบริการ
นายสมศักดิ์ กล่าวในรายละเอียดของหนังสือดังกล่าวว่า ในกรณีที่สิทธิบัตรทอง ที่ไม่สามารถเข้ารับบริการในหน่วยบริการประจำได้ เนื่องจากปิดให้บริการจากสถานการณ์ความรุนแรง หรือมีความจำเป็นจะต้องอพยพไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว หรือที่พักอาศัยอื่นนอกพื้นที่ สามารถเข้ารับบริการที่หน่วยบริการอื่นได้ ทั้งในกรณีภายในจังหวัดหรือต่างจังหวัด โดยหน่วยบริการที่ให้บริการก็สามารถเบิกจ่ายชดเชยได้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนด
ขณะที่กรณีการให้บริการด้านยาและเวชภัณฑ์ในสถานการณ์กับผู้ป่วยสิทธิบัตรทองที่ต้องได้รับยาต่อเนื่อง และต้องเพิ่มจำนวนยา หรือเวชภัณฑ์ตามความเหมาะสมของผู้ป่วย หน่วยบริการสามารถใช้ดุลยพินิจพิจารณา หรือพิจารณาตามข้อตกลงในระดับพื้นที่กรณีที่ต้องจ่ายยา เวชภัณฑ์เพิ่มให้กับผู้ป่วยในพื้นที่ได้
นอกจากนี้ ในส่วนกรณีผู้ป่วยไตวายเรื้อรังสิทธิบัตรทองจากพื้นที่เสี่ยงที่เขารับบริการในพื้นที่ไม่ได้ และต้องเข้ารับบริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมในหน่วยบริการที่มีความปลอดภัย แต่หน่วยบริการดังกล่าวนั้น ต้องเพิ่มจำนวนการให้บริการเกินกว่าที่สปสช. กำหนด ก็สามารถดำเนินการได้เช่นกัน โดยแจ้งข้อมูลศักยภาพการให้บริการไปยังหน่วยงานที่มีอำนาจในการพิจารณาอนุมัติ หรืออนุญาตตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการเพิ่มศักยภาพดังกล่าวให้สปสช. ทราบ
นายสมศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงที่ไม่สามารถรับบริการได้ตามแผนการดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิงรายบุคคล ขอให้ อปท. ที่บริหารจัดบริการดูแลผู้มีภาวพึ่งพิงรายบุคคลจากงบประมาณในกองทุน กปท. ประสานติดต่อกับหน่วยบริการอื่นในพื้นที่ใกล้เคียงที่ปลอดภัย เพื่อให้การดูแลมีความต่อเนื่อง และหน่วยบริการที่ดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิงสามารถเบิกจ่ายชดเชยค่าบริการจากสปสช. ได้ โดยขอให้หน่วยบริการยืนยันตัวตนผู้เข้ารับบริการโดยคำนึงถึงความสะดวก แต่หากยืนยันตัวตนไม่ได้เนื่องจากสถานการณ์รุนแรง ก็ขอให้แจ้งความไม่สะดวกเพื่อให้ดำเนินการเป็นรายกรณีได้
“นอกจากนี้ อปท. ยังสามารถสนันสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุน กปท. เพื่อดำเนินโครงการหรือกิจกรรมในสถานการณ์ความไม่สงบ และสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นได้ตามความจำเป็น และทันต่อสถานการณ์ รวมถึงสามารถสนับสนุนรถรับ-ส่ง ผู้ทุพพลภาพเพื่อไปรับบริการ สนับสนุนผ้าอ้อมผู้ใหญ่ แผ่นรองซับการขับถ่าย แผ่นเสริมซึมซับ และผ้าอ้อมทางเลือกให้กับประชาชนในพื้นที่ได้เช่นกัน”
ด้าน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ขณะนี้สปสช. ได้ส่งหนังสือซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับการเข้ารับบริการสาธารณสุขของประชาชน และการสนับสนุนค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุข ในสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย - กัมพูชา หรือสถานการณ์การเกิดอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ พร้อมกับข้อมูลติดต่อสำนักงานสาขา หรือสปสช.เขต ทั่วประเทศทั้ง 13 เขตให้กับหน่วยบริการแต่ละจังหวัดได้ประสานติดต่อกรณีที่ต้องให้บริการประชาชนสิทธิบัตรทองจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อให้หน่วยบริการ และ อปท. ที่ดูแลกองทุน กปท. ได้ประสานกับ สปสช.ในพื้นที่เพื่อร่วมกันอำนนวยความสะดวกในการเข้าถึงบริการสาธารณสุขของประชาชน และผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดความราบรื่น
“จากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และอุทกภัยในภาคเหนือ สปสช. มีความห่วงใยที่เหตุการณ์ดังกล่าว อาจทำให้ประชาชน ผู้ป่วยเข้ารับบริการได้ไม่สะดวกเหมือนกับภาวะปกติ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ต้องได้รับการดูแลต่อเนื่อง ซึ่งการซักซ้อมทำความเข้าใจกับหน่วยบริการ และภาคส่วนท้องถิ่นที่ดูแลประชาชนในพื้นที่ จะทำให้เกิดความเข้าใจในการดูแล และทำให้ทราบขอบเขตการให้บริการ รวมถึงกระบวนการเบิกจ่ายชดเชยค่าบริการ ซึ่งจะมี สปสช. ในพื้นที่คอยประสานช่วยเหลือในกระบวนการต่างๆ ด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกิดการดูแลผู้ป่วยมีความต่อเนื่องจากสถานการณ์ที่กำลังเกิดชึ้น”