เตือนภัย! น้ำต้มพืชกระท่อม ‘เรนโบว์ ช็อต’ อันตรายแรงเกินเบอร์
หลังจากพืชกระท่อมถูกปลดออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษประเภท 5 ตามพ.ร.ย.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2564 ประชาชนสามารถต้มน้ํากระท่อมเพื่อบริโภคภายในครัวเรือนได้ โดยไม่ผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม การผลิตหรือจําหน่ายน้ําต้มพืชกระท่อมต้องได้รับอนุญาตจากสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งมีการตรวจจับผู้กระทำผิดกฎหมายอยาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลายครั้งที่น้ำต้มพืชกระท่อมนั้น มีการผสมสิ่งที่อันตรายเข้าไปด้วย
ในการประชุมวิชาการคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพแห่งชาติ ประจำปี 2568 ภายใต้หัวข้อ DIGITAL ECONOMY CHALLENGE FOR SUSTAINABILITY "เศรษฐกิจดิจิทัล ความท้าทายและโอกาสในการพัฒนาที่ยั่งยืน" จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) เมื่อเร็วๆนี้
มีการนำเสนอผลการศึกษาวิจัย เรื่อง “สถานการณ์ของการใช้ยาน้ําเชื่อมผิดวัตถุประสงค์จากของกลางน้ําต้มพืชกระท่อมในเขตสุขภาพที่ 5 ระหว่างปีงบประมาณ 2564-2568” ของตวงพร เข็มทอง, ปริญญา มาประดิษฐ และณัชชา แก้ววงล้อม ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 5 สมุทรสงคราม
ระบุว่า จากข้อมูลบันทึกการจับกุมของเจ้าหน้าที่รัฐหลังการเปลี่ยนแปลงกฎหมาย พบว่าลั กษณะของการกระทําผิดได้เปลี่ยนจากการจับกุมผู้เสพมาเป็นการจับกุมผู้จําหน่ายน้ำต้มพืชกระท่อมโดยไม่ได้รับอนุญาต และพบการผสมยาน้ำเชื่อม เช่น ยาแก้แพ้หรือยาแก้ไอ ลงในน้ําต้มพืชกระท่อม
หรือมีการจําหน่ายยาน้ำเชื่อมควบคู่กันเพื่อให้ผู้บริโภคนําไปผสมเอง เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ยา พ.ศ. 2510 พฤติกรรมดังกล่าวแพร่หลายในกลุ่มเยาวชนและผู้ใช้แรงงาน โดยเฉพาะในพื้นที่เขตสุขภาพที่ 5
การใช้ยาน้ำเชื่อมร่วมกับน้ำต้มพืชกระท่อม ก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบประสาทส่วนกลาง เช่น อาการง่วงซึมสับสน หมดสติ เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องขับขี่ยานพาหนะหรือทํางานร่วมกับเครื่องจักร อีกทั้ง ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการใช้ซ้ำ เพื่อความผ่อนคลายและพฤติกรรมเสพติดจากรสหวานของยาน้ำเชื่อม
เมื่อความต้องการบริโภคยาน้ำเชื่อมเพิ่มขึ้น ภายใต้การควบคุมการจําหน่ายยาอย่างเข้มงวดในร้านยา จึงพบการลักลอบผลิตยาปลอมที่ไม่มีตัวยาสําคัญตามที่ระบุบนฉลาก ดังนั้น การใช้ยาน้ำเชื่อมผิดวัตถุประสงค์ โดยการนํามาผสมกับน้ำต้มพืชกระท่อม จึงเป็นปัญหาสําคัญที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและความปลอดภัยของผู้บริโภค ทั้งยังเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายหลายฉบับ
การศึกษานี้จึงมีความสําคัญในการเฝ้าระวังแนวโน้มการใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดประเภท และเพื่อเสนอแนวทางการจัดการเชิงระบบในระดับพื้นที่อย่างเหมาะสม ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงพรรณนา (Descriptive Research) โดยใช้ข้อมูลทุติยภูมิจากหน่วยงานภาครัฐและการทบทวนเอกสารทางวิชาการและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
กลุ่มตัวอย่างเป็นของกลางน้ําต้มพืชกระท่อม และยาน้ำเชื่อมทั้งหมดที่ส่งตรวจพิสูจน์ ณ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 5 สมุทรสงคราม จากการจับกุมผู้กระทําความผิดในพื้นที่เขตสุขภาพที่5 ได้แก่ สุพรรณบุรี นครปฐม กาญจนบุรี ราชบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ จํานวน 778 ตัวอย่าง ระยะเวลาการดําเนินงาน: ตุลาคม 2563 - พฤษภาคม 2568
จากผลการวิเคราะห์ตัวอย่างของกลาง ในพื้นที่เขตสุขภาพที่ 5 ระหว่างปีงบประมาณ 2564 -2568 จํานวน 778 ตัวอย่าง แบ่งเป็น น้ำต้มพืชกระท่อม 482 ตัวอย่าง (61.95%) ยาน้ำเชื่อม 272 ตัวอย่าง(34.96%) และผลิตภัณฑ์ลักษณะคล้ายยาน้ำเชื่อมที่ระบุบนฉลากว่าเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือน้ำเชื่อม 24ตัวอย่าง (3.09%)
ในกลุ่มน้ําต้มพืชกระท่อม พบการผสมไดเฟนไฮดรามีน (Diphenhydramine) 123 ตัวอย่าง(25.52%) คลอร์เฟนิรามีน (Chlorpheniramine) 99 ตัวอย่าง (20.54%) และผสมทั้งสองชนิดร่วมกัน 37 ตัวอย่าง (7.68%) โดยไม่พบการผสมโคเดอีนหรือสารเสพติดอื่น
ยาน้ำเชื่อมที่นิยมใช้ผสมกับน้ําต้มพืชกระท่อม คือ ยาที่มีส่วนผสมของไดเฟนไฮดรามีน 161 ตัวอย่าง (59.19%) และคลอร์เฟนิรามีน 111 ตัวอย่าง (40.81%) โดยในจํานวนนี้เป็นยาที่มีเลขทะเบียนถูกต้อง 264 ตัวอย่าง (97.06%) ในจํานวนนี้เป็นยาปลอม (ยาที่ไม่มีตัวยาตามที่ระบุไว้บนฉลาก) 12 ตัวอย่าง (4.55%) และการเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์เป็นขวดบีบเพื่อหลีกเลี่ยงการ ตรวจสอบ 8 ตัวอย่าง (2.94%)
จากข้อมูลบันทึกการจับกุมผู้กระทําความผิดเกี่ยวกับน้ำต้มพืชกระท่อมและยาน้ําเชื่อมในปีงบประมาณ 2564 พบว่าเป็นการจับกุมผู้เสพ 60 คดี รวม 87 ตัวอย่าง โดยของกลางบรรจุในหม้ออลูมิเนียมหรือกระติกน้ําแข็ง ปีงบประมาณ 2565 อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านการบังคับใช้กฎหมายจึงมีการส่งตรวจของกลางเพียง 5 ตัวอย่าง และไม่มีข้อมูลผู้กระทําผิด
ในปีงบประมาณ 2566 เป็นต้นมา แนวโน้มเปลี่ยนเป็นการจับกุมผู้จําหน่าย โดยของกลางบรรจุในขวดพลาสติกใสพร้อมจําหน่าย ขนาดบรรจุ 600 มิลลิลิตร ถึง 1.5 ลิตร พบผู้กระทําผิดชาวไทย 192 คดี รวม 602 ตัวอย่าง และชาวเมียนมา 59 คดี รวม 84 ตัวอย่าง
ปีงบประมาณ2567 เริ่มพบการระบาดในพื้นที่อื่นนอกเหนือจากจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และสมุทรสาคร รวมถึงการปรับแต่งผลิตภัณฑ์ให้มีสี กลิ่น และรสชาติน่ารับประทานในรูปแบบ “rainbow shot” ซึ่งพบในพื้นที่อําเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ในปีงบประมาณ 2568
สรุปการศึกษาตัวอย่างของกลางในพื้นที่เขตสุขภาพที่ 5 ระหว่างปี 2564–2568 พบการใช้ยาน้ำเชื่อมผสมกับน้ำต้มพืชกระท่อมอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะยาที่มีส่วนผสมของไดเฟนไฮดรามีนและคลอร์เฟนิรามีน ทั้งนี้ แนวโน้มการกระทําผิดได้เปลี่ยนจากการเสพเพื่อบริโภคส่วนบุคคลไปสู่การจําหน่ายเชิงพาณิชย์ในรูปแบบที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น การปรับแต่งผลิตภัณฑ์ การลักลอบผลิตยาปลอม และการเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ สะท้อนถึงความท้าทายในการควบคุมผลิตภัณฑ์สุขภาพในระดับพื้นที่
จึงควรมีการจัดการเชิงระบบผ่านการเฝ้าระวังเชิงรุก การบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงาน การสื่อสารความเสี่ยงต่อประชาชน และสนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อป้องกันและลดผลกระทบต่อสุขภาพอย่างยั่งยืน