สปสช.เล็งปรับ 'คลินิกบัตรทอง กทม.' ใหม่ แก้ปัญหาใบส่งตัว
นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวระหว่างการลงพื้นที่ ตรวจเยี่ยมการให้บริการของ “สรณคมน์คลินิกเวชกรรม” เขตดอนเมือง เมื่อเร็วๆนี้ว่า สรณคมน์คลินิกเวชกรรม มีศักยภาพในการดูแลผู้ป่วยสูงและมีจุดแข็งที่การให้บริการรวดเร็ว แต่พื้นที่ที่ได้รับมอบหมายดูแลกลับน้อยเกินไป ไม่สมดุลกับศักยภาพที่มีอยู่ นอกจากนี้เมื่อลงพื้นที่จริงยังพบว่าการแบ่งเขตไม่เหมาะสม
เพราะคลินิกตั้งอยู่บริเวณหัวมุม ไม่ได้อยู่กึ่งกลางของพื้นที่ที่จัดสรรให้ จึงไม่สามารถเข้าไปดูแลประชากรในชุมชนใกล้เคียงได้อย่างทั่วถึง ส่งผลให้เกิดปัญหาที่ผู้ป่วยในชุมชนต้องออกไปรับบริการที่อื่น ส่วนผู้ป่วยที่อยู่นอกพื้นที่แต่มีสิทธิกลับเข้ามาเพื่อขอใบส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลใหญ่เท่านั้น
อย่างไรก็ดี การกระจายพื้นที่ให้คลินิกดูแลในปัจจุบันอาจไม่เหมาะสมกับบริบทจริงของพื้นที่ ซึ่งใน กทม. มีคลินิกแบบนี้อยู่ราว 240 แห่ง ซึ่งคงต้องมาทบทวนปรับใหม่ทั้งหมดเพื่อแก้ปัญหา ซึ่งที่คลินิกนี้มีผู้ป่วยที่ต้องส่งต่อไปโรงพยาบาลใหญ่กว่า 800 คนต่อเดือน แต่ผู้ป่วยเหล่านี้กลับไม่ได้อยู่ในพื้นที่ชุมชน
และเมื่อกลับจากการรักษาแล้วก็ไม่มีใครติดตามดูแล ทำให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้ต้องเวียนกลับมาขอใบส่งตัวซ้ำทุก 2-3 เดือน ซึ่งไม่ช่วยให้สภาพโรคดีขึ้นได้เลย ดังนั้นเรื่องนี้จึงน่าจะเป็นยุทธศาสตร์ใหม่ของ สปสช. โดยจะมีการทำข้อเสนอเพื่อเข้าสู่การพิจารณาของอนุกรรมการระดับเขต เพื่อเริ่มต้นดำเนินการภายในปีงบประมาณ 2569
“บทบาทของคลินิกไม่ควรจำกัดอยู่แค่การรักษาผู้ป่วย แต่ต้องเน้นสร้างเสริมสุขภาพฯ เชิงรุกด้วย ซึ่ง สปสช. มีงบประมาณนี้เหลืออยู่ทุกปี จึงต้องกระตุ้นให้คลินิกดำเนินกิจกรรมในพื้นที่เพื่อรับงบประมาณตามบริการเหล่านั้น ไม่ใช่แค่การจัดสรรงบตามความเจ็บป่วย เพราะหากเป็นระบบที่ยิ่งมีผู้ป่วยมากยิ่งได้เงินมาก ระบบก็จะไปไม่รอด จึงต้องกลับมาคิดและทำข้อเสนอใหม่ ทำให้คลินิกในพื้นที่ลงไปติดตามดูแลผู้ป่วยได้จริง” เลขาธิการ สปสช. กล่าว
นพ.จเด็จ กล่าวต่อว่า สำหรับที่คลินิกเวชกรรมแห่งนี้ ทั้งผู้ป่วยและผู้นำชุมชนสะท้อนในทางเดียวกันว่าได้รับการดูแลที่ดี เนื่องจากมีผู้บริหารเป็นอาจารย์แพทย์ ที่แม้เกษียณอายุแล้วก็ยังคงเข้ามาให้บริการและเป็นที่พึ่งของชุมชน จึงควรส่งเสริมให้มีคลินิกเช่นนี้มากขึ้น สิ่งสำคัญคือคลินิกต้องอยู่ได้ด้วยตัวเอง
จากการประเมินพบว่าคลินิกควรมีกำไรประมาณ 20% แต่ปัจจุบันยังทำไม่ได้ จึงต้องมุ่งเน้นเพิ่มสัดส่วนรายได้จากกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค และเยี่ยมบ้าน ซึ่งไม่เพียงช่วยให้คลินิกอยู่ได้อย่างยั่งยืน แต่ยังเป็นกลยุทธ์สำคัญในการแก้ปัญหาเรื่องใบส่งตัวของคลินิกใน กทม. ได้ด้วย
“ลองนึกภาพว่า ผู้ป่วย ไปโรงพยาบาลขนาดใหญ่ พบคุณหมอตรวจ 5 นาทีแล้วกลับบ้าน แล้วอีก 2-3 เดือนก็เจอกันใหม่ ในระหว่างนั้นควรมีคนลงไปให้คำแนะนำในการดูแลโรคเรื้อรังต่างๆ ดังนั้นในปีงบประมาณหน้าเราจะพยายามปรับตรงนี้ เพื่อให้คลินิกเดินหน้าสู่การเป็นหน่วยบริการปฐมภูมิที่สร้างชุมชนอบอุ่นได้จริง” เลขาธิการ สปสช. กล่าว