‘ยุโรป’ แดดดี ผลิตไฟฟ้าจาก ‘แสงอาทิตย์’ มากสุด พร้อมเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด
จากข้อมูลใหม่จาก Ember สถาบันวิจัยด้านพลังงาน แสดงให้เห็นว่า ในเดือนมิถุนายน 2568 “สหภาพยุโรป” สามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์คิดเป็น 22.1% ซึ่งมากที่สุดเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดยมากกว่าพลังงานนิวเคลียร์อย่างเฉียดฉิว และที่สำคัญคือแซงหน้าเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างมาก
ประเทศสมาชิกอย่างน้อย 13 ประเทศสามารถผลิตพลังงานแสงอาทิตย์รายเดือนทำลายสถิติ รวมถึงเนเธอร์แลนด์ (40.5%) และกรีซ (35.1%) เนื่องจากสภาพอากาศที่สดใสทำให้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น
การเปลี่ยนแปลงนี้ยังช่วยให้สหภาพยุโรปสามารถจัดการกับความต้องการพลังงานที่พุ่งสูงขึ้น จากคลื่นความร้อนช่วงต้นฤดูร้อนที่ยังคงแผ่ปกคลุมทวีปยุโรปอย่างต่อเนื่อง
“ยุโรปกำลังกลายเป็นแหล่งพลังงานแสงอาทิตย์” คริส รอสโลว์ นักวิเคราะห์พลังงานของเอมเบอร์กล่าว
รายงานพบว่า ยุโรปผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินเพียง 6.1% ลดลงจาก 8.8% ในปีก่อนหน้า และเป็นตัวเลขการผลิตระดับรายเดือนที่ต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ แม้แต่เยอรมนีและโปแลนด์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่ใช้ถ่านหินมากที่สุดในสหภาพยุโรป ต่างก็มีระดับพลังงานที่ต่ำเป็นประวัติการณ์
เยอรมนีผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินได้เพียง 12.4% ขณะที่สัดส่วนพลังงานของโปแลนด์ยังคงใช้ถ่านหินอยู่มาก คือ 42.9% โดยรวม ส่วนประเทศอื่น ๆ ได้แก่ สาธารณรัฐเช็ก (17.9%) บัลแกเรีย (16.7%) และเดนมาร์ก (3.3%) ก็ลดลงสู่ระดับต่ำสุดเช่นกัน
ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากยุโรปสามารถพลังงานแสงอาทิตย์พุ่งสูงขึ้น ดังนั้นการพึ่งพาถ่านหินของยุโรปจึงลดลงอย่างมาก
นอกจากนี้ มีประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป 10 ประเทศ ที่ไม่ได้ใช้พลังงานถ่านหินเลย รวมถึงไอร์แลนด์ ซึ่งปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งสุดท้ายอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ส่วนสเปนและสโลวาเกียมีแผนที่จะเลิกใช้พลังงานถ่านหินในปี 2568 เช่นกัน
ขณะเดียวกัน ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปอย่างน้อย 13 ประเทศมีสัดส่วนการใช้พลังงานแสงอาทิตย์สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ได้แก่ เบลเยียม โครเอเชีย ฝรั่งเศส ฮังการี อิตาลี โปรตุเกส และสโลวาเกีย
ข้อมูลโดยรวมถือเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของยุโรป ด้วยการใช้แสงอาทิตย์ในฤดูร้อนที่มีรุนแรงมากกว่าเดิม แทนที่จะใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างในอดีต
ประชาชนสนับสนุนพลังงานสีเขียว
ส่วนหนึ่งที่ยุโรปสามารถเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานได้รวดเร็ว เป็นเพราะประชาชนให้การสนับสนุนอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรู้แล้วว่าแหล่งพลังงานเหล่านี้สามารถให้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่เห็นได้ชัด อีกทั้งยังได้รับความนิยมในหมู่ผู้บริโภครุ่นใหม่และกลุ่มคนที่ตระหนักถึงสภาพภูมิอากาศมากขึ้นเช่นกัน
คณะกรรมาธิการยุโรปรายงานว่า ชาวยุโรปเก้าในสิบประเทศสนับสนุนให้สหภาพยุโรปดำเนินการเพื่อเพิ่มพลังงานหมุนเวียน ตอนนี้ในสำหรับหลายประเทศแล้ว ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคามีราคาถูกกว่า และเป็นอิสระจากตลาดเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ผันผวน
งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าโครงการพลังงานชุมชนที่มีการมอบส่วนลด การเป็นเจ้าของร่วม หรือการสร้างงานในท้องถิ่น จะได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากผู้อยู่อาศัยในยุโรป โครงการที่มีส่วนร่วมกับชุมชนตั้งแต่เนิ่น ๆ และแบ่งปันผลประโยชน์ทางการเงินก็มีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จในระยะยาวเช่นกัน
โครงการเหล่านี้ยังช่วยให้กำลังการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในยุโรป ซึ่งสามารถช่วยเร่งการเปลี่ยนผ่านจากเชื้อเพลิงฟอสซิลได้เร็วยิ่งขึ้น
ในปี 2008 ยุโรปมีการใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพียง 1% เท่านั้น จากพลังงานหมุนเวียนทั้งหมด แต่พอมาในปี 2023 พลังงานแสงอาทิตย์กระโดดขึ้นมาเป็น 20.5% ของผลผลิตดังกล่าว ตามข้อมูลของคณะกรรมาธิการ
“สถิติที่ไม่หยุดนิ่งไม่ได้เป็นผลมาจากสภาพอากาศแจ่มใสเท่านั้น แต่ยังมาจากการสร้างพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มขึ้นทุกปี” รอสส์โลว์อธิบาย
โอกาสของพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่งเริ่มต้น
ผลการศึกษาล่าสุดของ Global Energy Monitor เปิดเผยว่าการเปลี่ยนเหมืองถ่านหินเก่าเป็นให้เป็นฟาร์มพลังงานแสงอาทิตย์จนสามารถผลิตไฟฟ้าได้มากพอที่จะจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับประเทศที่มีขนาดเท่ากับเยอรมนี โดยทั่วทั้งยุโรป พื้นที่เหมืองถ่านหินเก่ากว่า 7.5 ล้านไร่สามารถนำมาปรับใช้เป็นพลังงานสะอาดได้
นอกจากพลังงานแสงอาทิตย์แล้ว “พลังงานลม” ก็พลังงานหมุนเวียนอีกชนิดที่ช่วยในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของยุโรป โดยในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน สหภาพยุโรปสามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมได้เกือบ 16% ตามการวิเคราะห์ของ Ember
แม้ว่ายุโรปจะมีพลังงานสีเขียวเพิ่มขึ้นอย่างทำลายสถิติ แต่เชื้อเพลิงฟอสซิลยังคงมีสัดส่วนประมาณหนึ่งในสี่ของไฟฟ้าทั้งหมดของสหภาพยุโรปในเดือนมิถุนายน ถึงจะเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าปีก่อน ๆ มากก็ตาม แสดงให้เห็นถึงความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถึงช่วงวันหรือฤดูกาลต่าง ๆ ที่ไม่สามารถผลิต หรือผลิตพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมได้น้อยลง
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า การหาแหล่งจัดเก็บพลังงานที่มากขึ้น รวมถึงโครงข่ายไฟฟ้าที่ชาญฉลาดขึ้น และการวางแผนด้านอุปสงค์ที่ดีขึ้น จะเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำลายสถิติใหม่ พร้อมผลักดันให้เชื้อเพลิงฟอสซิลหลุดพ้นจากระบบ
ที่มา: Euro News, Reuters, ZME Science