“ประเสริฐ” สั่งการทุกหน่วยงานเร่งบริหารจัดการน้ำ เพื่อระบายลงสู่เจ้าพระยา ย้ำ เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทั่วถึง
วันที่ 30 ก.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) กล่าวว่า ปัจจุบันหลายพื้นที่ของประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาอุทกภัยจากอิทธิพลของพายุวิภา ซึ่งส่งผลให้มีฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องในลุ่มน้ำต่างๆของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ระหว่างวันที่ 21-28 ก.ค. โดยมีปริมาณฝนสูงสุดเมื่อวันที่ 23 ก.ค. โดยในพื้นที่ลุ่มน้ำน่าน อ.ภูเพียง จ.น่าน มีฝนตกถึง 400 มิลลิเมตร(มม.) พื้นที่ลุ่มน้ำยม อ.เชียงคำ จ.พะเยา 306 มม. ลุ่มน้ำโขงเหนือ อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย 217 มม. และลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ อ.บึงกาฬ จ.บึงกาฬ 86 มม.
รัฐบาลมีความห่วงใยต่อประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ และไม่ได้นิ่งนอนใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยได้มอบหมายให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการดำเนินงานผ่านศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย ทั้ง 4 ลุ่มน้ำ ได้แก่ ลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออกและลุ่มน้ำบางปะกง ณ จ.ระยอง ลุ่มน้ำโขงเหนือ จ.เชียงราย ลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ จ.หนองคาย และลุ่มน้ำยม-น่าน จ.สุโขทัย เพื่อบริหารจราจรน้ำข้ามลุ่มน้ำและข้ามจังหวัด รวมถึงการแจ้งเตือนภัยและการสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบายในภาวะวิกฤติ เพื่อเร่งคลี่คลายสถานการณ์ให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้โดยเร็วที่สุด
โดยหน่วยงานในแต่ละพื้นที่ได้ประสานความร่วมมือในการให้ความช่วยเหลือด้านต่างๆในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ ทั้งการเตรียมพร้อม และสนับสนุนเครื่องจักรกลขนาดใหญ่ เครื่องสูบน้ำ เครื่องผลักดันน้ำ ฯลฯ เพื่อเร่งระบายน้ำท่วมขัง รวมถึงซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานที่เสียหาย พร้อมทั้งจัดเรียงกระสอบทรายและกระสอบทรายขนาดใหญ่ (Big Bag) เป็นแนวกั้นป้องกันน้ำท่วมในจุดเสี่ยง
นอกจากนี้ ได้ดำเนินการอพยพกลุ่มเปราะบางไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว พร้อมดูแลครอบคลุมทั้งการดำรงชีพ การแพทย์และสาธารณสุข และสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน โดยจัดตั้งโรงครัวพระราชทานและโรงครัวประกอบเลี้ยง อีกทั้งได้จัดเตรียมอุปกรณ์กู้ภัย เช่น เรือยนต์ เรือท้องแบน เจ็ทสกี โดรน อากาศยานไร้คนขับ (UAV) และจัดเจ้าหน้าที่ตำรวจและกองอาสารักษาดินแดน ดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รวมถึงอำนวยความสะดวกในการสัญจรผ่านเส้นทางที่มีน้ำท่วมขัง และติดตั้งสะพานเบลีย์เพื่อเป็นเส้นทางสัญจรชั่วคราวด้วย
ปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์อุทกภัยใน 4 จังหวัด ได้แก่ น่าน เชียงราย แพร่ และสุโขทัย ซึ่งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จ.น่านเป็นพื้นที่ที่มีปริมาณฝนสะสมสูงสุดของประเทศ โดยบริเวณต.ยอด อ.สองแคว มีฝนสะสมมากกว่า 500 มม.
แต่ขณะนี้ระดับน้ำกำลังลดลงอย่างต่อเนื่องและเข้าสู่ระยะฟื้นฟูแล้ว เช่นเดียวกับจังหวัดแพร่ที่สถานการณ์กำลังคลี่คลายลงตามลำดับ ในส่วนของจ.เชียงราย ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา มีฝนตกลงมาเพิ่มเติมในพื้นที่มากกว่า 100 มม. ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายเพิ่มสูงขึ้นเกินระดับตลิ่ง โดยเฉพาะบริเวณสะพานมิตรภาพไทย - เมียนมา แห่งที่ 1 ซึ่งเป็นจุดรับน้ำจากฝั่งเมียนมาโดยตรง ทำให้เกิดภาวะน้ำล้นทะลักเข้าท่วมพื้นที่เศรษฐกิจ ปัจจุบันระดับน้ำยังคงทรงตัว โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
ด้านจ.สุโขทัยยังมีแนวโน้มระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นในบางจุด ซึ่งได้สั่งการให้มีการควบคุมมวลน้ำจากภาคเหนือลงสู่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา โดยปรับลดการระบายน้ำจากเขื่อนสิริกิติ์ และควบคุมระดับน้ำเหนือเขื่อนนเรศวร เพื่อเร่งระบายน้ำจากแม่น้ำยมเข้าสู่แม่น้ำน่าน และควบคุมระดับน้ำไม่ให้ล้นตลิ่งในตัวเมืองสุโขทัย รวมทั้งเสริมแนวป้องกันน้ำในเขตเศรษฐกิจและจุดเสี่ยงซ้ำซาก และเปิดบานประตูระบายน้ำทุกจุดเต็มศักยภาพ อีกทั้งได้เตรียมพร้อมพื้นที่ทุ่งบางระกำซึ่งใช้หน่วงน้ำได้ถึง 400 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.)
โดยคาดการณ์ว่าสถานการณ์ทั้ง 4 จังหวัดดังกล่าวจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติภายในสิ้นเดือนนี้ และสถานการณ์ล่าสุด เมื่อวันที่ 29 ก.ค.พบว่ามีฝนตกหนักในพื้นที่ลุ่มน้ำสาละวิน บริเวณจ.ตาก โดยเฉพาะที่ต.แม่ตาว อ.แม่สอด ปริมาณฝนสูงสุด 98 มม. ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำเมยเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและเอ่อล้นตลิ่งในหลายจุด เกิดอุทกภัยในพื้นที่สำคัญของอำเภอแม่สอด ซึ่งหน่วยงานในพื้นที่ได้เข้าช่วยเหลือประชาชน พร้อมทั้งจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง หากไม่มีฝนตกเพิ่มในระยะ 1–2 วันนี้ คาดว่าสถานการณ์จะเริ่มคลี่คลายลงภายใน 3-5 วัน
นายประเสริฐ กล่าวว่า ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังได้สั่งการให้บูรณาการบริหารจัดการในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อพื้นที่ชุมชนและเขตเศรษฐกิจในจ.ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง และพระนครศรีอยุธยา รวมถึงให้ประสานการบริหารระดับน้ำกับพื้นที่ท้ายเขื่อนเจ้าพระยาไปจนถึงเขื่อนพระรามหกและเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรองรับน้ำฝนระลอกใหม่ในเดือนส.ค.-ก.ย. และลดความเสี่ยงจากสถานการณ์น้ำหลากในพื้นที่ตอนล่างของลุ่มน้ำ
นอกจากนี้ได้สั่งการให้เฝ้าระวังสถานการณ์แม่น้ำโขงอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง เนื่องจากเขื่อนน้ำเทิน 1 ใน สปป.ลาว ได้เพิ่มการระบายน้ำอย่างฉับพลัน จาก 2,500 เป็น 4,500 ลบ.ม. ต่อวินาที ส่งผลให้ระดับน้ำบริเวณจังหวัดริมฝั่งแม่น้ำโขง มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น 0.5-1 เมตร โดยให้เตรียมแผนรับมือและแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน ทั้งด้านการแจ้งเตือนล่วงหน้า การอพยพประชาชนในพื้นที่เสี่ยง และการสนับสนุนทรัพยากรฉุกเฉินเพื่อให้สามารถลดผลกระทบต่อประชาชนได้อย่างทันท่วงที ทั้งนี้ ได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานบริหารจัดการสถานการณ์ร่วมกันอย่างเข้มแข็งตลอดช่วงฤดูฝนปีนี้ และขอยืนยันว่า รัฐบาลจะเดินหน้าเร่งแก้ไขปัญหาและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบในทุกพื้นที่ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเร็วที่สุด
ทั้งนี้ ประชาชนสามารถติดตามข้อมูลสถานการณ์น้ำแบบเรียลไทม์และข่าวสารผ่านช่องทาง ได้แก่ Application และ Website "Nation Thai Water", LINE "ไทยคู่ฟ้า" และ ช่องทางแชท Facebook ของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ซึ่งเปิดให้สอบถามและติดตามข้อมูลได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือขอความช่วยเหลือผ่านสายด่วน “ปภ.เตือนภัย” ที่โทรศัพท์หมายเลข 1748
เมื่อถามว่า จะต้องมีการเตรียมการรับมือพายุลูกใหม่ในช่วงฤดูฝนหรือไม่ นายประเสริฐ กล่าวว่า ขณะนี้ก็อยู่ในช่วงฤดูฝนอยู่แล้ว ต้องเฝ้าระวังอยู่ตลอด และยังไม่ได้รับรายงานว่าจะมีพายุลูกใหม่ๆเกิดขึ้นในขณะนี้ แต่ก็มีการเตรียมมาตรการต่างๆไว้รอรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว