KJL มีสัญญาณฟื้นตัว ผลงานกลับมาแกร่ง
#KJL #ทันหุ้น – KJL ส่งสัญญาณฟื้นตัวต่อ หลังยอดขายกลับมาแกร่ง ชูกลยุทธ์ลงทุนเพิ่มศักยภาพการผลิต คาดศูนย์นวัตกรรมแล้วเสร็จภายในสิ้นปี จ่ออัพกำลังการผลิตเป็น 40 ล้านชิ้นต่อปี เริ่มเดือนเครื่องไตรมาส 1/2569 เล็งคลอดโปรดักต์ใหม่ 1-2 กลุ่มสินค้า โชว์ผลงานไตรมาส 2/2568กำไรพุ่ง 57.29%แตะ 48.65 ล้านบาท
นายเกษมสันต์ สุจิวโรดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท กิจเจริญ เอ็นจิเนียริ่ง อีเลคทริค จำกัด (มหาชน) หรือ KJL เปิดเผยกับ“ทันหุ้น” ว่า บริษัทกำลังส่งสัญญาณธุรกิจฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง หลังยอดขายเริ่มกลับมาแข็งแรงตั้งแต่เดือนมีนาคม และขยายแรงส่งไปถึงเดือนเมษายน พฤษภาคม และมิถุนายน โดยเชื่อมั่นว่าครึ่งปีหลังจะมีทิศทางสดใส และสามารถรักษาโมเมนตัมนี้ต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 3 และ 4
บริษัทเดินหน้ากลยุทธ์การเติบโตอย่างเต็มกำลัง ทั้งในด้านการลงทุนและการเพิ่มศักยภาพการผลิต โดยโครงการ อาคารศูนย์นวัตกรรม KJL Innovation Campus (KIN) มีความคืบหน้าแล้วกว่า 70% และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ตามแผน ขณะเดียวกันยังเตรียมเพิ่มกำลังการผลิตจาก 33 ล้านชิ้นต่อปี เป็น 40 ล้านชิ้นต่อปี ซึ่งจะเริ่มผลิตจริงได้ตั้งแต่ไตรมาส 1 ปีหน้า โดยปัจจุบันกำลังการผลิตถูกใช้งานแล้วที่ระดับ 70–85% และบางสายการผลิตที่ใช้ระบบอัตโนมัติทำงานใกล้เต็มกำลัง
** ออกสินค้าใหม่ต่อ
ทั้งนี้ เพื่อรองรับการขยายตัว บริษัทมีแผนออกสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง ไตรมาสละ 1–2 กลุ่มสินค้า หลังจากปลดล็อกข้อจำกัดด้าน Capacity ขณะเดียวกันยังเร่งขยายเครือข่าย KJL Network จากร้านค้าอุปกรณ์ไฟฟ้า 1,000 ร้าน เป็น 1,200 ร้าน และเพิ่มจำนวนช่างไฟฟ้าจาก 10,000 คน เป็น 15,000 คน เพื่อให้ครอบคลุมการกระจายสินค้าและเข้าถึงลูกค้าทั่วประเทศได้มากขึ้น
อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่บริษัทให้ความสำคัญคือการขยายไลน์สินค้า เพื่อครอบคลุมทุกเซกเมนต์ สร้างเกราะป้องกันจากคู่แข่งและหนุนการเติบโตในสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย พร้อมอาศัยประโยชน์จากEconomy of Scale เพื่อลดต้นทุนรวม ทำให้มีความได้เปรียบในการตั้งราคา เช่น สินค้ารุ่น “5K” ที่ลงมาสู้ในตลาดราคา และได้รับการตอบรับอย่างดี ช่วยเพิ่มส่วนแบ่งตลาดใหม่ ๆ ให้กับบริษัท
ทั้งนี้ ไตรมาส 2/2568 บริษัทมีรายได้จากการขาย 308.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.86 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 16.56% จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้นในอัตราเดียวกันเมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่ มีกำไรสุทธิ 48.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.72 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น57.29% จากไตรมาสก่อน แม้ลดลงจากปีก่อน 5.11 ล้านบาท หรือ ลดลง9.51% โดยปัจจัยหลักที่ทำให้กำไรสุทธิลดลงเมื่อเทียบปีก่อน มาจากสิทธิประโยชน์ด้านภาษีที่เคยได้รับในปี 2567 ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นซ้ำในปีนี้ หากตัดปัจจัยดังกล่าวออกไป กำไรสุทธิแท้จริงยังเติบโตแข็งแกร่ง