ร้อยละ 90 ของเชื้อ HPV ติดมาจากการมีเพศสัมพันธ์
หนึ่งในไวรัสอันตรายที่ทำให้เกิดโรคร้ายในระบบสืบพันธุ์คือไวรัส HPV เพราะเมื่อติดแล้วแทบไม่แสดงอาการใดๆในระยะแรกและอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของเซลล์ที่รุนแรงถึงขั้นกลายเป็นมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งปากมดลูกซึ่งกรมการแพทย์ระบุว่าเป็นโรคมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 5 ของผู้หญิงไทยมีผู้ป่วยรายใหม่ 5,422 คนต่อปีหรือเฉลี่ยวันละ 15 คนและเสียชีวิตถึงวันละ 6 คนตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นว่า HPV ไม่ใช่เรื่องไกลตัวและอาจนำไปสู่โรคร้ายหากไม่ป้องกันไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ
วันนี้ นพ.กษิติ เที่ยงธรรม สูตินรีแพทย์แพทย์ ผู้ชำนาญการด้านมะเร็งวิทยานรีเวช ศูนย์สูตินรีเวช รพ.วิมุต จึงอยากชวนทุกคนไปรู้จัก HPV ให้ลึกขึ้นพร้อมไขข้อสงสัยทุกความเชื่อผิดๆ ที่ทำให้เราห่างไกลHPV ได้ดีกว่าเดิม
HPV คืออะไรทำไมจึงอันตราย
HPV (Human Papillomavirus) เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่นำไปสู่การเป็นโรคหูดและโรคมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งปากมดลูกซึ่งเชื่อมโยงกับHPV ประมาณ 14 สายพันธุ์จากกว่า 200 สายพันธุ์ที่มีอยู่ส่วนใหญ่ถ้าร่างกายมีภูมิต้านทานปกติจะสามารถกำจัดเชื้อ HPV ได้เองภายใน 2 ปีโดยไม่มีอาการใดๆซึ่งการติดเชื้อจะน่ากังวลก็ต่อเมื่อเชื้ออยู่ในร่างกายนานหรือติดสายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงก่อโรคสูง
กว่า 90% ติดเชื้อ HPV จากการมีเพศสัมพันธ์
การติดเชื้อ HPV แทบทั้งหมดมาจากการมีเพศสัมพันธ์เนื่องจากไวรัสชนิดนี้ติดต่อผ่านการสัมผัสทางผิวหนังบริเวณที่มีแผลซึ่งเป็นทางที่เชื้อสามารถเข้าไปในร่างกายได้แม้จะเป็นแผลเล็กระดับไมโครเช่นเยื่อบุอ่อนของช่องคลอดที่เวลาเสียดสีจะเกิดแผลขนาดเล็กๆได้ง่ายระหว่างกิจกรรมทางเพศโดยไม่ว่าจะเป็นการสอดใส่ใช้นิ้วหรืออุปกรณ์อื่นก็ล้วนมีความเสี่ยงเท่าๆกันนพ.กษิติเที่ยงธรรมอธิบายว่า“หลายคนกังวลว่าการใช้ห้องน้ำสาธารณะหรือใช่สิ่งของร่วมกันจะทำให้ติดเชื้อซึ่งเป็นไปได้แต่โดยทั่วไปการติดเชื้อที่ปากช่องคลอดมักไม่ได้ก่อโรคหรือเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งน้อยมากและในชีวิตประจำวันเราแทบไม่มีโอกาสสัมผัสบริเวณนั้นโดยตรงนอกจากการมีเพศสัมพันธ์ที่น่ากังวลกว่านั้นคือเมื่อติดเชื้อแล้วมักจะไม่แสดงอาการชัดเจนทำให้เราไม่รู้ว่ามีเชื้ออยู่ในร่างกายดังนั้นการตรวจคัดกรองสม่ำเสมอจึงเป็นเรื่องสำคัญเพื่อจะได้ตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่เนิ่นๆก่อนจะพัฒนาไปสู่หูดหรือมะเร็งอันตราย"
รู้ให้ชัดก่อนตรวจคัดกรอง! ตรวจ Pap smear ไม่เท่ากับตรวจเชื้อ HPV
การคัดกรองมะเร็งปากมดลูกมี 2 วิธีหลักได้แก่การตรวจแปปสเมียร์ (Pap Smear) ซึ่งเป็นการเก็บเซลล์จากปากมดลูกเพื่อตรวจหาความผิดปกติของเซลล์วิธีนี้อาจไม่แม่นยำมากนักเพราะความผิดปกติที่พบอาจไม่ได้เกิดจากเชื้อ HPV เสมอไปและมักเกิดความเข้าใจผิดว่าการตรวจ Pap Smear เพียงอย่างเดียวก็ครอบคลุมการตรวจหาเชื้อ HPV แล้วทั้งที่จริงไม่ใช่เพราะมีการตรวจอีกวิธีคือ HPV DNA Test ที่เป็นการตรวจหาเชื้อ HPV ในร่างกายโดยตรงซึ่งช่วยประเมินความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้แม่นยำกว่าในปัจจุบันแนะนำเป็นการตรวจคัดกรองโดยหารหาเชื้อ HPV (Primary HPV testing)หรือจะทำร่วมกับการดูเซลล์ที่ปากมดลูกก็ได้ (Co-testing) โดยแนะนำให้ผู้หญิงที่เคยมีเพศสัมพันธ์ควรตรวจคัดกรองสม่ำเสมอตั้งแต่อายุ 25 ปีและตรวจซ้ำทุก 3–5 ปีตามคำแนะนำของแพทย์นพ.กษิติเที่ยงธรรมอธิบายเสริมว่า "เมื่อผลตรวจพบเชื้อ HPV บางคนอาจสงสัยเชื้อมาจากใครหรือจากพฤติกรรมอะไรแต่ความจริงคือการตรวจบอกได้เพียงว่ามีเชื้ออยู่ในร่างกายหรือไม่ไม่ได้บอกกว่าติดมานานแค่ไหนหรือติดมาจากใครดังนั้นจึงไม่ควรด่วนสรุปว่าเราได้รับเชื้อมาจากใครเพราะเชื้ออาจแฝงตัวอยู่นานหลายปีแล้วก็ได้”
การตรวจคัดกรองเป็นเพียงการค้นหากลุ่มที่มีความเสี่ยงไม่ใช่การวินิจฉัยเมื่อผลตรวจ Pap Smear หรือผลตรวจHPV ออกมาผิดปกติหมายความว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่ควรติดตามหรือทำการตรวจเพิ่มเติมโดยแพทย์จะประเมินว่าจะเฝ้าดูนัดมาตรวจซ้ำหรือส่องกล้องขยายปากมดลูกต่อไปโดยผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่พบมะเร็งและเซลล์เหล่านี้มักกลับสู่ปกติเมื่อร่างกายกำจัดเชื้อ HPV ได้
ห่างไกล HPV ด้วยวัคซีนยิ่งฉีดไวยิ่งได้ผลดีผู้ชายก็ฉีดได้
วัคซีน HPV ช่วยป้องกันการติดเชื้อ HPV เป็นสาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูกและโรคหูดโดยกลุ่มอายุ 9–14 ปีควรได้รับวัคซีน 2 เข็มเนื่องจากเป็นช่วงที่ภูมิคุ้มกันตอบสนองได้ดีที่สุดและมักยังไม่เคยเพศสัมพันธ์ส่วนในช่วงอายุ 15–46 ปียังสามารถฉีดได้แต่ต้องฉีดครบ 3 เข็มโดยประสิทธิภาพอาจลดลงเล็กน้อยหากเคยติดเชื้อมาก่อน "ผู้ชายก็สามารถฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันหูดและลดการแพร่เชื้อสู่ผู้หญิงได้โดยปัจจุบันตัววัคซีนมีความปลอดภัยสูงผลข้างเคียงน้อยมักพบแค่เพียงอาการปวดบริเวณที่ฉีดย้ำเตือนว่าผู้หญิงที่ฉีดวัคซีน HPV แล้วก็ควรตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอเนื่องจากวัคซีนไม่สามารถกำจัดเชื้อ HPV ในร่างกายที่เคยติดมาก่อนและไม่ได้ครอบคลุมสายพันธุ์เสี่ยงทั้งหมด" นพ.กษิติเที่ยงธรรมอธิบาย
ป้องกัน HPV เริ่มจากดูแลตัวเองให้ถูกวิธี
นอกจากการฉีดวัคซีนการปรับพฤติกรรมก็ช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HPV และมะเร็งปากมดลูกเช่นการใช้ถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์ช่วยป้องกันเชื้อ HPV และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างมีประสิทธิภาพนอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคนเนื่องจากยิ่งมีคู่นอนมากหรือมีคู่นอนที่เคยมีคู่อื่นมาก่อนความเสี่ยงในการติดเชื้อจะยิ่งสูงขึ้นรวมถึงเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอเช่นการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์รวมถึงดูแลสุขภาพโดยรวมให้แข็งแรงเพื่อให้ร่างกายกำจัดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- โรงงานผลิตเภสัชภัณฑ์ในพระดำริ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ ผลิตยารักษาโรคมะเร็งแห่งแรกของไทยที่ได้รับการรับรอง GMDP PIC/s
- ความหวังใหม่ผู้ป่วยมะเร็ง นักวิจัยสหรัฐฯ พัฒนา วัคซีนมะเร็งครอบจักรวาล จาก mRNA สร้างภูมิคุ้มกันสู้มะเร็ง
- ทางเลือกใหม่รักษามะเร็งตับ ด้วยวิธีการฉีดสารกัมมันตรังสีผ่านหลอดเลือดแดง
- “ยาอิมครานิบ 100" รักษามะเร็งมุ่งเป้า ใช้สิทธิเบิกกองทุนสุขภาพได้หรือไม่? ไขข้อสงสัยที่หลายคนอยากรู้
- “สมศักดิ์” พอใจยอดฉีดวัคซีน HPV - ไข้หวัดใหญ่ เกินเป้า ป่วย-เสียชีวิต