‘เมื่อการแพทย์บรรจบกับความสงบนิ่ง’ ค้นพบวิทยาศาสตร์แห่งการผ่อนคลาย ผ่านศิลปะ ดนตรี และกัญชาทางการแพทย์
จินตนาการภาพห้องเล็กๆ ในค่ำคืนอันสงบเงียบ มีเพียงเรากับกลิ่นกัญชาอ่อนๆ และเครื่องดนตรีสักชิ้นหรือสมุดสเกตช์สักเล่ม มันอาจพาเราดำดิ่งสู่ห้วงอารมณ์ที่ไม่เคยพบมาก่อน และนำไปสู่การสร้างสรรค์บางสิ่งที่ลึกซึ้ง
ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ‘กัญชา’ มักถูกพูดถึงในแง่กฎหมาย หรือประโยชน์ทางการแพทย์ แต่อย่างที่เรารู้กันดีว่าทุกวันนี้มันยังถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของการเป็นเครื่องมือที่ทำให้เรา ‘ช้าลง’ และกลับมาเชื่อมโยงกับความคิดสร้างสรรค์อีกครั้งได้
หลายปีมานี้ เราจึงไม่ได้มองหากัญชาเพียงเพื่อบรรเทาอาการป่วยเท่านั้น แต่สนใจในแง่ของ ‘กัญชาทางการแพทย์’ และ ‘กัญชาเพื่อการพักผ่อน’ กล่าวคือ ใช้กัญชาเพื่อ ‘สร้าง’ บรรยากาศสงบ เพื่อเป็น ‘สะพาน’ เชื่อมเราเข้ากับศิลปะ ดนตรี และความคิดสร้างสรรค์
กัญชามีสารสำคัญอย่าง THC และ CBD ที่ทำงานร่วมกับระบบเอ็นโดแคนนาบินอยด์ (Endocannabinoid System) ในร่างกาย ช่วยปรับสมดุลอารมณ์ ลดความวิตกกังวล และบรรเทาความตึงเครียด ในภาวะบรรยากาศเช่นนั้นเอง ทำให้ศิลปะและดนตรีมีพลังยิ่งขึ้น
บางช่วงเวลา ท่ามกลางโลกที่รีบเร่ง ชีวิตประจำที่วุ่นวาย จนความหมายในชีวิตดูรางเลือน เราอาจต้องการ ‘หยุด’ ชั่วคราว เพื่อสร้างห้วงเวลาอันสงบสุขจากการชะลอ ‘เกียร์แห่งชีวิต’ ลง และมองเห็นรายละเอียดที่งดงามรอบข้างอีกครั้ง
นั่นเองที่ทำให้กัญชากลายเป็นเครื่องมือพาเราดำดิ่งสู่ความงามแห่งการพักผ่อนเหล่านั้น มาลองดูกันว่ากัญชาทางการแพทย์ช่วยสร้างแรงบันดาลใจแห่งการผ่อนคลายผ่านศิลปะและดนตรีได้อย่างไร
การเยียวยาที่ปราศจากคำพูด
ศิลปะบำบัด (Art Therapy) คือสิ่งที่ช่วยปลดปล่อยอารมณ์อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะในรูปแบบใด เช่น การวาดภาพ ระบายสี ศิลปะคอลลาจ การเขียนบันทึก หรือแม้กระทั่งงานฝีมือ เพราะศิลปะบำบัดนั้นมีประสิทธิภาพในการลดความเครียด เพิ่มความเข้มแข็งทางอารมณ์ และช่วยปรับความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับผู้อื่นได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการวิตกกังวล หรือ PTSD
การใช้กัญชาเป็นเครื่องมือควบคู่จะช่วยให้เพลิดเพลินไปกับกระบวนการสร้างสรรค์ได้ เพราะหลายคนมองว่ากัญชาช่วยให้เข้าสู่สภาวะ ‘Flow’ ได้ง่ายขึ้น เหมือนเป็นภาวะที่ ‘สิ่งรอบข้าง’ เลือนหายไป เหลือเพียงการจดจ่อกับงานสร้างสรรค์ตรงหน้า ที่สำคัญสภาวะเช่นนั้นจะช่วย ‘ลด’ ความกลัวในการถูกตัดสิน เปิดโอกาสให้ได้ทดลองอย่างเต็มที่ และเปิดทางให้ความรู้สึกถูกสะท้อนออกมาโดยไม่ต้องใช้คำพูด
จังหวะแห่งการสัมผัสใจ
สำหรับคนที่สนใจเรื่องของประวัติศาสตร์ดนตรีคงจะพอรู้ว่ากัญชานั้นมีประวัติยาวนานในวัฒนธรรมดนตรี โดยเฉพาะดนตรีฝั่งตะวันตก มีนักดนตรีไม่น้อยที่ใช้กัญชาเพื่อ ‘ปลดล็อค’ ขอบเขตความคิดสร้างสรรค์และ ‘ขยาย’ การรับรู้ต่อจังหวะหรือท่วงทำนอง มีการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Toronto Metropolitan University ในสหรัฐอเมริกาที่พบว่าผู้ใช้กัญชารู้สึกมีสมาธิ ฟังดนตรีได้ลึกซึ้งกว่าเดิม เชื่อมโยงอารมณ์กับเพลงมากขึ้น และมีความอ่อนไหวต่อรายละเอียดในเสียงมากขึ้นอย่างชัดเจน สิ่งเหล่านี้คือเครื่องมือให้นักดนตรีทุกยุคสมัยได้สร้าง ‘ซาวนด์’ แปลกใหม่ รายละเอียดใหม่ๆ และอารมณ์ที่เข้มข้นขึ้น เช่น เพลงแนวเร็กเก หรือไซคีเดลิก
พิธีกรรมเพื่อการผ่อนคลาย
หากมองในมุมของการใช้กัญชาเพื่อผ่อนคลาย มันอาจไม่ใช่ ‘การเสพ’ แต่เสมือนการสร้าง ‘พิธีกรรม’ เล็กๆ เพื่อสร้างสมาธิหรือเพิ่มความตั้งใจ กัญชาจึงถูกจับคู่กับกิจกรรมหลายอย่าง เช่น โยคะ การฟังเพลง หรือการวาดภาพ ซึ่งพิธีกรรมเหล่านี้เปลี่ยนการใช้กัญชาให้กลายเป็นประสบการณ์ที่มีสติตระหนักรู้ในร่างกายและรายละเอียดของกิจกรรมที่กำลังทำอยู่ ว่าง่ายๆ คือ การเน้นการ ‘อยู่กับปัจจุบัน’ ไม่ใช่การมุ่งไปที่ ‘ความมึนเมา’
เคยมีบทความในเว็บไซต์ Leafwell และ Yogajournal ที่กล่าวว่าทั้งโยคะและกัญชามีประวัติศาสตร์ร่วมกันหลายพันปี งานวิจัยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาก็เผยให้เห็นประโยชน์มากมายของการออกกำลังกายขณะอยู่ในอาการ ‘High’ ถึงแม้ว่าโดยทั่วไปแล้วจะแนะนำให้ใช้กัญชาที่มี THC สูงหลังการออกกำลังกายก็ตาม และเมื่อกัญชาได้รับการยอมรับและผสมผสานเข้ากับชีวิตประจำวันมากขึ้น ผู้ฝึกโยคะหลายคนจึงเริ่มทดลองนำกัญชาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกโยคะ ซึ่งเป็นเรื่องที่ ‘สมเหตุสมผล’ เพราะทั้งกัญชาและโยคะสามารถช่วยเพิ่มสติ พัฒนาสุขภาพ และคุณภาพชีวิตโดยรวมได้
สมดุลของความสงบที่ไม่ใช่การหลบหนีจากความจริง
แม้กัญชาทางการแพทย์หรือเพื่อความผ่อนคลายจะดูเหมือนมีประโยชน์มากกว่าโทษ แต่อย่าลืมว่าเช่นเดียวกับทุกสิ่งบนโลกใบนี้ ไม่ใช่ทุกคนที่ตอบสนองต่อกัญชาใน ‘ทางบวก’ มีงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่า THC ในปริมาณต่ำอาจช่วยบรรเทาความวิตกกังวลได้ แต่สำหรับบางคน กัญชาอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงเชิงลบ เช่น ความวิตกกังวลหรือใจสั่น ไม่ต่างกับการบริโภคคาเฟอีน ดังนั้น ‘ปริมาณ’ และ ‘บรรยากาศ’ จึงสำคัญมาก
เพราะปริมาณที่น้อยและสภาพแวดล้อมที่สงบ จะช่วยส่งประสบการณ์ให้ดีขึ้น แต่สิ่งสำคัญคือการแยกแยะระหว่างการใช้กัญชาอย่างมีสติเพื่อความสงบและความคิดสร้างสรรค์ กับการใช้มากเกินไปเพียงเพื่อ ‘หนี’ จากความจริงบางอย่าง
ใช้อย่างมีศิลป์
อย่างที่รู้กันว่าศิลปะและดนตรีต่างก็มีพลังในการเยียวยาอยู่แล้ว แต่เมื่อมาบรรจบกับกัญชา ประสบการณ์เหล่านี้จะยิ่งลึกซึ้ง เป็นส่วนตัว และเต็มไปด้วยมิติใหม่ เสมือนเป็นการสร้างสรรค์และเยียวยาในเวลาเดียวกัน เพราะกัญชาช่วยให้ร่างกายและจิตใจสงบ ส่วนศิลปะและดนตรีช่วยให้สื่อสารอารมณ์ ปลดปล่อยความเครียด และเชื่อมต่อกับตัวเอง ว่าไปแล้วก็เหมือนการผสานศิลป์กับวิทย์อย่างลงตัว
ท้ายที่สุด หากมองในแง่ของกัญชาทางการแพทย์เพื่อการผ่อนคลาย จุดประสงค์ของมันคงไม่ได้อยู่ที่ ‘การเมา’ แต่คือการ ‘ปรับคลื่น’ ให้เข้ากับกิจกรรมที่เราทำเพื่อความลึกซึ้งขึ้น
เพราะแม้หลายคนยังมองว่ากัญชา คือปีศาจและสิ่งมึนเมา หากแต่งานวิจัยมากมายก็ยอมรับว่ากัญชาไม่ต่างจากยา หากเราใช้มันเพื่อการรักษาอย่างถูกจุด รู้จักสมดุล และตระหนักถึงผลดีผลเสีย