จับตา! แรงเก็งกำไรระยะสั้นหุ้นปิโตรฯ-โรงกลั่น รับสเปรดที่เพิ่มขึ้น หลังรัฐบาลเกาหลีใต้-จีน ปรับโครงสร้างอุตฯ
จับตา! แรงเก็งกำไรระยะสั้นหุ้นปิโตรฯ-โรงกลั่น รับสเปรดที่เพิ่มขึ้น หลังรัฐบาลเกาหลีใต้-จีน ปรับโครงสร้างอุตฯ
โบรกฯ จับตาแรงเก็งกำไรระยะสั้นหุ้นกลุ่มปิโตรเคมี-โรงกลั่น จากสเปรดที่เพิ่มขึ้น หลังรัฐบาลเกาหลีประกาศปรับลดการผลิตแนฟทา ตามแผนปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม เช่นเดียวกับรัฐบาลจีนเตรียมปฏรูปครั้งใหญ่
จากรณีที่ รัฐบาลเกาหลีใต้ประกาศแผนสำหรับบริษัทปิโตรเคมี 10 แห่งของประเทศที่จะปรับโครงสร้างการดำเนินงาน ซึ่งรวมถึงการปรับลดกำลังการผลิตแนฟทา (naphtha) โดยผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเหล่านี้ได้ลงนามข้อตกลงการปรับโครงสร้างทั่วทั้งอุตสาหกรรมในการประชุมซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้า อุตสาหกรรม และพลังงาน (TIE) เข้าร่วม
โดยได้ตกลงที่จะลดกำลังการผลิตของโรงแครกเกอร์ naphtha ลงในช่วง 2.7-3.7 ล้านต้นต่อปี (mta) คิดเป็นประมาณ 25% ของกำลังการผลิตทั้งปีของประเทศ พร้อมการส่งโครงร่างเกี่ยวกับวิธีในการลดกำลังการผลิตภายในสิ้นปีนี้
ขณะที่รัฐบาลจีนเตรียมเดินหน้าปฏิรูปครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและการกลั่นน้ำมัน โดยจะทยอยปิดโรงงานขนาดเล็กและบังคับให้โรงงานเก่าปรับปรุงประสิทธิภาพ ซึ่งมาตรการดังกล่าวคาดว่าจะประกาศภายใน 1 เดือน (Reuters และ Bloomberg)
เคจีไอ มองหนุนกลุ่มโรงกลั่นมากกว่า
บล.เคจีไอ เปิดเผยในบทวิเคราะห์ว่า มองเป็น sentiment เชิงบวกเท่านั้นต่อปิโตรเคมี แต่สำหรับพื้นฐาน demand-supply ของปิโตรเคมีไม่ได้เปลี่ยนแปลงมาก เนื่องจากถึงแม้จะมีการปรับลดกำลังการผลิตปิโตรเคมีแล้วก็ตาม ตลาดปิโตรเคมียังอยู่ในสภาวะ oversupply อยู่มาก
โดยในปี 2568F คาด polyolefins ทั่วโลกจะ oversupply อยู่ประมาณ 62.0 MTA ประกอบ oversupply จาก polyethylene (PE) ที่ 33.1 MTA และ oversupply จาก polypropylene (PP) ที่ 28.9 MTA ดังนั้นถ้ารัฐบาลเกาหลีใต้สามารถปรับลดกำลังการผลิต polyolefins ได้ 2.7-3.7 MTA จริง ตลาด polyolefins ทั่วโลกยังจะ oversupply ลดลงเหลืออยู่ที่ประมาณ 58.3-59.3 MTA ซึ่งยังอยู่ในระดับที่ oversupply มากอยู่ ทำให้ยังคงประมาณการ spread ของ HDPE และ PP ที่ระดับต่ำเหมือนเดิมที่ US$380/ton ในปี 2568F
อย่างไรก็ตาม มองเป็นบวกทั้ง sentiment และพื้นฐาน demand-supply สำหรับตลาดโรงกลั่น เนื่องจากตลาดไม่ได้ oversupply เหมือนฝั่งปิโตรเคมี ดังนั้นถ้ารัฐบาลจีนออกมาตรการปิดโรงงานขนาดเล็กที่มีอายุมากกว่า 20 ปีขึ้นไป และไม่ได้มาตรฐานทั้งในเรื่องประสิทธิภาพการใช้งานพลังงานต่อการผลิตหรือในเรื่องการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG emissions) จริง เรามองอุปทานน้ำมันสำเร็จรูปจะตึงตัวขึ้น โดยเฉพาะน้ำมันดีเซลที่ปัจจุบันสต็อกน้ำมันดีเซลในตลาดโลกอยู่ในระดับต่ำอยู่แล้ว
ทั้งนี้ มอง TOP* (OP, 1H69F TP ที่ 36.00 บาท), SPRC* (OP, 1H69F TP ที่ 6.50 บาท), BSRC (OP, 1H69F TP ที่ 7.00 บาท) และ BCP* (OP, 1H69F TP ที่ 45.00 บาท) จะได้รับประโยชน์
DAOL หนุน Spread ปิโตรฯ ระยะยาว
บล.ดาโอ (ประเทศไทย) มีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี (petrochemical spread) ในระยะยาวที่น่าจะฟื้นตัวขึ้นหลังจากอุปทานโลกที่น่าจะลดลง อย่างไรก็ดี เราเชื่อว่ายังมีความไม่แน่นอนในการทำตามแผนนี้อยู่และมองว่าภาพรวมตลาดปิโตรเคมีโดยรวมในระยะสั้นจะยังคงอยู่ในภาวะอุปทานส่วนเกิน (oversupply) จากอุปทานใหม่ของจีนที่ยังคงเข้ามา
อีกทั้งเชื่อว่าบริษัทในกลุ่มนี้จะเห็นผลกระทบเชิงลบจากการบังคับใช้ภาษีนำเข้าตอบโต้ของสหรัฐอเมริกา (US reciprocal tariff) และคาดว่า petrochemical spread จะยังทรงตัวต่ำใน 2H25E
ยังคงน้ำหนักการลงทุน "น้อยกว่าตลาด" โดยมีคำแนะนำหุ้นที่เราดูแลอยู่ดังนี้ PTTGC (ขาย/เป้า 21.00 บาท), SCC (ขาย/เป้า 150.00 บาท), และ IVL (ถือ/เป้า 22.00 บาท)
จับตาแรงเก็งกำไรหุ้นปิโตรฯ ระยะสั้น
บล.ไอร่า คาดอาจเห็นแรงเก็งกำไรระยะสั้นในหุ้นปิโตรเคมี (SCC, PTTGC, IVL และ IRPC) จากการที่บริษัทปิโตรเคมีของเกาหลีใต้ 10 แห่งตกลงที่จะปรับโครงสร้างและลดกำลังการผลิตแนฟทาแครกเกอร์ (Naphtha Cracker) ลง 2.7-3.7 ล้านตันต่อปีหรือราว 25% ของกำลังการผลิตของเกาหลีใต้
มองว่า แม้เกาหลีจะมีกำลังการผลิตไม่เท่าจีนแต่เกาหลีใต้เป็นผู้ส่งออก (Export-Oriented) ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีรายใหญ่ของโลก คาดจะส่งผลต่อปริมาณสินค้าในตลาดการค้าระหว่างประเทศ (Sea-borne Market) ลดลง ลดการแข่งขันด้านราคาและสร้างฐานราคา มองเป็นบวกต่อหุ้นในกลุ่มปิโตรเคมี จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ (Spread) ในตลาดปิโตรเคมีทั้งในระดับภูมิภาคคาดมีโอกาสปรับตัวขึ้น
เรียบเรียง โดย จารุวรรณ เอี่ยมยิ่งพานิช
อีเมล์. charuwan@efinancethai.com
ดูข่าวต้นฉบับ