ส่งออกข้าวติดลบต่อเนื่องเดือนที่8 ครึ่งปีติดลบ27.3%ลุ้นสหรัฐลดภาษี
เมื่อปี 2567 ประเทศไทยส่งออกข้าวปริมาณ 9.95 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 13% นำรายได้สูงถึง 225,656 ล้านบาท โดยปริมาณการส่งออกข้าวทั้งปี 2567 สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 9 ล้านตัน เป็นปริมาณที่สูงสุดในรอบ 6 ปี
สำหรับการส่งออกข้าวปี 2568 กรมการค้าต่างประเทศและสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย คาดการณ์ร่วมกันว่าจะอยู่ที่ประมาณ 7.5 ล้านตัน เนื่องจากตลาดการค้าข้าวโลกจะมีการแข่งขันสูงจากการกลับมาส่งออกข้าวของอินเดีย และปริมาณผลผลิตข้าวของทั้งประเทศผู้ส่งออกและผู้นำเข้าข้าวมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากภาวะภัยแล้งคลี่คลาย
สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกข้าวเดือนมิ.ย. 2568 ปริมาณ 678,845 ตัน ลดลง 33.8%เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ด้านมูลค่าส่งออก 380.6 ล้านดอลลาร์ ลดลง 41.1% ขณะที่การส่งออกครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย.) 2568 ปริมาณ 3,729,264 ตัน ลดลง 27.3% มูลค่า 2,258 ล้านดอลลาร์ ลดลง 32.3%
ตลาดสหรัฐ-จีนส่งออกเพิ่มขึ้น
“การส่งออกข้าว หดตัว41.1% หดตัวต่อเนื่อง 8 เดือน เป็นการส่งออกลดลงในตลาดอิรัก แอฟริกาใต้ เซเนกัล แคเมอรูน และญี่ปุ่น แต่ขยายตัวในตลาดสหรัฐ จีน แคนาดา ฮ่องกง และสิงคโปร์”
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (ศสก.) เปิดเผยบทวิเคราะห์ (14 – 20 ก.ค.2568 ) ว่า การผลิต ข้าวนาปีปี 2568/69 คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนมิ.ย. 2568 มีเนื้อที่เพาะปลูก 61.946 ล้าน ไร่ ผลผลิต 27.226 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 440 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับปี 2567/68 เนื้อที่เพาะปลูกลดลง 0.12%
“ในขณะที่ผลผลิตเพิ่มขึ้น 0.81% และ ผลผลิตต่อไร่ เพิ่มขึ้น1.15% เนื่องจากเกษตรกรบางส่วนปรับเปลี่ยนไปปลูกออย โรงงานที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า บางพื้นที่ปรับเปลี่ยนไปเป็นที่พักอาศัย แต่ลดลงไม่มากนัก ”
สำหรับผลผลิตต่อไร่ คาดว่าเพิ่มขึ้น จากที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้คาดการณ์ปรากฎการณ์ ENSO ที่ส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศของไทย ณ เดือนพ.ค. 2568 พบว่าปรากฎการณ์ ENSO มีสถานะเป็นกลางกล่าวคือ คาดว่าในช่วงเดือนมิ.ย.ถึงส.ค. 2568 ปริมาณฝนบริเวณประเทศไทยมีค่าใกล้เคียงกับค่าปกติทำให้มีปริมาณน้ำเพียงพอต่อการเพาะปลูก และการเจริญเติบโตของต้นข้าว
คาดฝนดีไร้อุทกภัยทำผลผลิตพุ่ง
ประกอบกับปีนี้ไม่ประสบฝนทิ้งช่วงในต่นฤดูกาลเพาะปลูก และคาดว่าไม่ประสบ อุทกภัยใกล้ช่วงเก็บเกี่ยวเหมือนปีที่แล้ว ส่งผลให้ผลผลิตภาพรวมทั้งประเทศเพิ่มขึ้น
คาดการณ์ผลผลิตจะออกสูงตลาดช่วงเดือนก.ค. 2568 - พ.ค.2569 โดยในเดือนก.ค. 2568 มีผลผลิตออกสู่ตลาดประมาณ 0.194 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็น 0.71% ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด และคาดว่าผลผลิตจะออกสู่ตลาดมากที่สุดช่วงเดือนพ.ย. 2568 ปริมาณรวม 17.375 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็น 63.82% ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด
ส่วนข้าวนาปรัง ปี 2568 สศก. คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนมิ.ย. 2568 มีเนื้อที่เพาะปลูก 13.137 ล้านไร่ ผลผลิต 8.587 ล้านตันข้าวเปลือก และผลผลิตต่อไร่ 654 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับปี2567 ทั้งเนื้อที่เพาะปลูก ผลผลิต และผลผลิตต่อไร่ เพิ่มขึ้น 30.62% ,31.21% และ 0.46% ตามลำดับ
โดยเนื้อที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้น เนื่องจากปริมาณฝนที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงปลายปี 2567ส่งผลให้ปริมาตรน้ำในเขื่อนและอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ มีเพียงพอ ต่อการจัดสรรน้ำให้ทำการเกษตรเพิ่มขึ้น รวมถึงปริมาณน้ำตามแหล่งน้ำตามธรรมชาติส่วนใหญ่
สูงกว่าปีที่แล้ว เกษตรกรบางส่วนปลูกชดเชยข้าวนาปีที่เสียหายจากน้ำท่วม และในบางพื้นที่สามารถเพาะปลูกข้าวนาปรังได้ 2 รอบ
ด้านราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 15,375 บาท ราคาลดลงจากตันละ 15,450 บาท บาท ในสัปดาห์ก่อน0.49% ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 6,956 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 6,910 บาท ในสัปดาห์ก่อน0.66%
ราคาส่งออกข้าวหอม-ข้าวขาวเพิ่ม
ด้านราคาส่งออกเอฟโอบี ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,058 ดอลลาร์ หรือ 34,099 บาทต่อตัน ราคาสูงขึ้นจากตันละ 1,053 ดอลลาร์ หรือ 34,042 บาทต่อตัน ในสัปดาห์ก่อน 0.47% และสูงขึ้นในรูปเงิน บาทตันละ 57 บาท ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 392 ดอลลาร์ หรือ 12,634 บาทต่อตันราคาสูงขึ้นจากตันละ 390 ดอลลาร์ หรือ 12,608 บาทต่อตัน ในสัปดาห์ก่อน0.51% และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 26 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 395 ดอลลาร์หรือ12,731 บาทต่อตัน ราคาลดลงจากตันละ 393 ดอลลาร์ หรือ 12,705 บาทต่อตัน) ในสัปดาห์ก่อน 0.51% และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 26 บาท
ปัจจุบันเศรษฐกิจและการค้าโลกกำลังเผชิญกับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนจากนโยบายภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. 2568 โดยจะเรียกเก็บภาษีในอัตราที่ แตกต่างกันตามประเทศคู่ค้า ทั้งนี้ ข้าวหอมมะลิไทยถือเป็นสินค้าส่งออกสำคัญ โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐ ซึ่งเป็นผู้นำเข่า อันดับ 1 อาจได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ