เริ่มแล้วภาษีทรัมป์ 70 ชาติทั่วโลก ประเทศไหนโดน “หนักที่สุด”
สหรัฐอเมริกาเดินหน้าปรับโฉมระบบการค้าระหว่างประเทศครั้งใหญ่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในคำสั่งบริหารล่าสุดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา กำหนดการเก็บภาษีนำเข้าใหม่จากประเทศคู่ค้ากว่า 70 ประเทศทั่วโลก โดยประเทศที่มีการเก็บภาษีในระดับสูงสุดพุ่งไปถึง 50% สร้างแรงกระเพื่อมทันทีในเวทีการค้าโลก
คำสั่งบริหารดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 7 สิงหาคม แทนที่จะเริ่มในวันศุกร์ตามที่เคยคาดการณ์ไว้ เพื่อให้หน่วยงานศุลกากรของสหรัฐฯ มีเวลาปรับระบบการจัดเก็บภาษีให้ทันตามข้อกำหนดใหม่
โครงสร้างภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ ประกาศครั้งนี้แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก โดยกำหนด “ภาษีพื้นฐาน” ที่ 10% สำหรับประเทศที่สหรัฐฯ มีดุลการค้าเกินดุล หรือสหรัฐฯ ส่งออกมากกว่านำเข้า ซึ่งครอบคลุม “ประเทศส่วนใหญ่” ทั่วโลกตามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทำเนียบขาว
สำหรับประเทศที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้า หรือมีการนำเข้ามากกว่าส่งออก จะถูกเก็บภาษีขั้นต่ำที่ 15% ซึ่งครอบคลุมกว่า 40 ประเทศ แม้ในบางประเทศอัตรานี้จะต่ำกว่าที่เคยประกาศเมื่อวันที่ 2 เมษายน แต่สำหรับบางประเทศกลับถูกปรับเพิ่มขึ้น
กลุ่มประเทศที่ถูกเก็บภาษีเกิน 30% ซึ่งถือว่าถูกมองว่าเป็น "ประเทศเป้าหมาย" ที่ต้องได้รับการเจรจาแบบเข้มข้นหรือไม่มีข้อตกลงการค้าใดๆ กับสหรัฐฯ โดยประเทศที่ถูกเก็บภาษีสูงที่สุด ได้แก่ ซีเรีย ที่ระดับ 41% รองลงมาคือเมียนมาและลาว ซึ่งถูกเรียกเก็บภาษี 40% เท่ากัน เช่นเดียวกับบราซิล ที่แม้จะมีอัตราภาษีพื้นฐาน 10% แต่ถูกเพิ่มภาษีพิเศษอีก 40% ทำให้รวมแล้วกลายเป็น 50% สูงสุดในโลก
รายชื่อประเทศที่ถูกเก็บภาษี 30% ขึ้นไป ได้แก่
- ซีเรีย – 41%
- เมียนมา – 40%
- ลาว – 40%
- สวิตเซอร์แลนด์ – 39%
- เซอร์เบีย – 35%
- อิรัก – 35%
- แอลจีเรีย – 30%
- บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา – 30%
- ลิเบีย – 30%
- แอฟริกาใต้ – 30%
ไม่เพียงเท่านั้น ทรัมป์ยังออกคำสั่งเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดาบางรายการที่ไม่อยู่ภายใต้ความตกลงการค้าเสรี USMCA จากเดิม 25% เป็น 35% โดยระบุว่าการเจรจากับแคนาดาในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับปัญหาเฟนทานิลและการค้าขาดความคืบหน้า ต่างจากเม็กซิโกที่ได้รับการผ่อนปรนภาษีเป็นเวลา 90 วัน
อีกประเด็นหนึ่งที่สร้างแรงสั่นสะเทือน คือการเก็บภาษีเพิ่มเติมอีก 40% สำหรับสินค้าที่ถูกจัดว่าเป็น "Transshipment" หรือสินค้าที่ถูกส่งต่อจากประเทศที่ถูกเก็บภาษีสูงมายังประเทศที่มีภาษีต่ำ แล้วส่งต่อเข้ามายังสหรัฐฯ เพื่อหลบเลี่ยงภาษีโดยตรง ซึ่งมาตรการนี้จะเพิ่มภาระอย่างมหาศาลต่อผู้ส่งออกและผู้ประกอบการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ
ฝ่ายบริหารของทรัมป์อธิบายว่า นี่ไม่ใช่แค่การขึ้นภาษี แต่คือการเริ่มต้น “ระบบการค้าใหม่” ที่ยึดหลัก “ความเป็นธรรมและสมดุล” มากกว่าประสิทธิภาพในแบบเดิม โดยหวังว่ามาตรการเหล่านี้จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเจรจาเพื่อให้สหรัฐฯ ได้ข้อตกลงการค้าที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งเป็นหัวใจหลักของแนวทาง “America First” ที่ทรัมป์ยึดมั่น
แม้จะมีเสียงวิจารณ์ว่ามาตรการภาษีแบบกว้างขวางนี้อาจกระทบห่วงโซ่อุปทานโลกและผู้บริโภคในสหรัฐฯ เอง แต่ฝ่ายทำเนียบขาวกลับชี้ว่า มาตรการนี้ได้จุดประกายการลงทุนใหม่มูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์ในอุตสาหกรรม เทคโนโลยี และโครงสร้างพื้นฐานของอเมริกา ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์เศรษฐกิจใหม่ของทรัมป์