เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้
#ทันหุ้น - บล.ฟินันเซียไซรัส มองแนวโน้มตลาดวันนี้ คาดว่า SET Index จะแกว่งตัวสร้างฐานระยะสั้นบริเวณ 1,200+- จุด ชะลอความร้อนแรงหลังจากปรับตัวขึ้นเด่นช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามยังอยู่ที่ผลการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ รวมถึงสถานการณ์ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านภาษีการค้ายังคงต้องจับตาว่าไทยจะได้ดีลก่อนเส้นตาย 1 ส.ค. เพื่อที่จะลดอัตราภาษีลงจาก 36% สู่ระดับ 20% หรือต่ำกว่าใกล้เคียงกับภูมิภาคได้หรือไม่หลังยื่นข้อเสนอเพิ่มเติมไปแล้ว ขณะที่ประเด็นการปะทะกับกัมพูชาปัจจุบันคาดยังกระทบต่อ SET และการดำเนินงานของบจ.จำกัด
อย่างไรก็ตามหากสถานการณ์ลุกลามเป็นวงกว้างขึ้นและกระทบต่อภาคการบินจะเป็นความเสี่ยงกับกลุ่มท่องเที่ยว อีกปัจจัยที่คาดว่ามีน้ำหนักมากขึ้นคือการทยอยคาดการณ์และประกาศกำไร 2Q25 บจ. ซึ่งภาพรวมคาดว่าจะชะลอตัวเล็กน้อยทั้ง q-q และ y-y อย่างไรก็ตามโฟกัสสำคัญอยู่ที่แนวโน้มการเติบโตช่วง 2H25 จากผู้บริหารในการประชุมนักวิเคราะห์ว่าจะมองผลกระทบจากภาษีทรัมป์มากน้อยเพียงใด ซึ่งคาดว่ายังมีความไม่แน่นอนและยังมีความเสี่ยงที่ประมาณการ EPS ของ SET ปัจจุบันที่ 89 บาทยังมีโอกาสถูกปรับลง ในเชิงกลยุทธ์ยังเน้น Selective Buy โดยเฉพาะหุ้นที่ยัง Laggard ดัชนีในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา รวมถึงมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง
กลยุทธ์ : เลือกลงทุนในหุ้นที่คาดกำไร 2Q25 แข็งแกร่ง มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว
หุ้นเด่นเดือน ก.ค. : ITC, KCE, NEO, OSP, SCGP
FSSIA Portfolio : BA, CENTEL, CPALL, KBANK, MTC, NSL, OSP, PR9, STECON
หุ้นเด่นวันนี้ : OSP
• แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 24 บาท
• คาดกำไรปกติ 2Q25 ที่ 986 ลบ. +2% q-q และ +7% y-y หนุนจาก Gross Margin ที่แข็งแรงและอาจทำ New High ที่ 40.8% ด้าน Market Share อาจยังไม่ปรับขึ้นแต่ภาพรวมรายได้เติบโตได้ดี และมองว่าตัวเลขของ AC Nielsen อาจไม่สะท้อนภาพที่แท้จริง
• บริษัทยังมุ่งเน้นที่ Margin เป็นหลัก โดย 12 บาท ยังขายดี และโดนแย่งแชร์จาก 10 น้อยกว่าคาด น่าจะช่วยผ่อนคลายความกังวลให้กับตลาดเพราะมี 10 บาท เป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภค ไม่เน้นแข่งราคาเกินไป เราคาดกำไรปกติปี 2025 ที่ 3.55 พันลบ. +17% y-y และไม่มีผลกระทบจากเหตุปะทะไทย-กัมพูชา
• แนวรับ 16.50//16 บาท แนวต้าน 17//17.40 บาท
ด้าน บล.ดาโอ คาดดัชนีฯ ผันผวน มีโอกาสติดลบ ติดตามการปะทะแนวชายแดน และยังรอดูผลเจรจาการค้าของไทยอยู่ โดยตลาดหุ้นไทย ความเสี่ยงในเรื่องการใช้กำลังทางทหารกับกัมพูชา จะทำให้นักลงทุนจะไม่กล้าผลีผลามเข้าซื้อหุ้น แม้จะเล็งผลบวกจากการเจรจาการค้าหรือ เงินทุนที่ไหลเข้าตลาดหุ้นเอเซียก็ตาม นักลงทุนบางส่วนอาจไม่กล้าถือครองหุ้นข้ามวันหยุดยาวนี้
• สถานการณ์การปะทะที่ชายแดนไทย-กัมพูชา มีความรุนแรงมาก พลเรือนไทยได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต จากการยิงขีปณาวุธของกัมพูชา เป็นปัจจัยหลักกดดันตลาดหุ้นในช่วงบ่ายวานนี้ลบไปมากกว่า 10 จุด … นักลงทุนควรระมัดระวังในการลงทุนหุ้นที่ประกอบธุรกิจในกัมพูชา
• ติดตามผลการเจรจาระหว่างไทยและสหรัฐฯ หลังส่งข้อเสนอเพิ่มเติมไปแล้วเมื่อ 23 ก.ค.ที่ผ่านมา คาดว่าไทยจะได้อัตราภาษีที่ไม่แตกต่างมากจากประเทศกลุ่ม ASEAN อย่างฟิลิปปินส์, อินโดนีเซียเรียกเก็บในอัตรา 19 % และเวียดนามเรียกเก็บอัตรา 20% แต่หากแตกต่างไปมาก หรือข้อตกลงทำให้ไทยเสียประโยชน์มาก จะเป็นลบต่อตลาดหุ้นได้
• การเมืองไทย ประเด็นหลักยังเป็นคดีคลิปฮุน เซนและนายกฯ หลังเลื่อนยื่นคำชี้แจงได้ถึง 31 ก.ค.นี้ บรรยากาศจะยังเป็นสุญญากาศไปจนถึงปลายเดือน ตลอดจนจะมีการตัดสินจากศาล รธน.ในช่วงกลางเดือนส.ค. พร้อมกับคดีสำคัญอื่นๆ เช่น คดี ม.112 และคดีรพ. ตำรวจชั้น 14 ของนายทักษิณ ผลการตัดสินคดีเหล่านี้มีผลกับตลาดหุ้นไทย …. เป็นโทนบวกกับตลาดหุ้นอีกระยะหนึ่ง จนถึงกลางเดือน ส.ค.ที่จะมีแรงกดดันหนักจากคำตัดสินคดีนากยฯ
• ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมวันนี้ตามการคาดการณ์ของตลาด หลังจากปรับลดอัตราดอกเบี้ยติดต่อกัน 8 ครั้งนับตั้งแต่ ECB เริ่มวงจรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย.2567
• DAOL ประเมินกำไรตลาด 2Q/25 ไว้อยู่ในช่วง 2.1-2.3 แสนล้านบาท ซึ่งต่ำกว่า 1Q/25 ที่ 2.82 แสนล้านบาท……. จากนี้ไป บริษัทต่างๆ จะทยอยนำส่งงบการเงินไล่ตั้งแต่ PTTEP กลุ่ม SCC และหุ้นกลุ่มการเงินตามลำดับ
• Event วันนี้ : PTTEP ประกาศงบฯ Q2/25
Strategy
• ตลาดวันสุดท้ายก่อนเข้าวันหยุดยาว ตลาดยังมีความผันผวน จากสถานการณ์กัมมพูชา ที่กินเวลาเป็นวันที่สอง นอกจากนี้ ปัจจัยชี้ทางตลาด ยังเป็นผลการเจรจาการค้าไทยกับสหรัฐฯ และมีการเข้ามาเก็งงบ 2Q
• กลยุทธ์ เน้นการเลือกลงทุนในหุ้นที่ราคายังปรับตัวขึ้นไม่มาก (Laggard) หรือหุ้นที่ได้อานิสงค์จาก Flow ไหลกลับเข้าตลาด
• สถานการณ์แนวชายแดนกัมพูชา ยังมีความเสี่ยงให้เห็น อาจต้องระวังการลงทุนหุ้นที่อิงรายได้จากประเทศนี้
• หุ้นในพอร์ตวันนี้ เรานำ TTB, CPF* ออก และนำ GULF เข้ามาแทนหุ้นในพอร์ตประกอบด้วย GULF(10%), SCC(20%), CRC(10%), GLOBAL(20%), SCB(10%)
Technical : BCH, KAMART
ขณะที่ บล.คิงส์ฟอร์ด ประเมินแนวรับดัชนี SET ที่ 1,200 แนวต้าน 1,220 – 1,225 โดยคาดดัชนีทรงตัว รอผลการเจรจาการค้าสหรัฐ – ไทยในสัปดาห์หน้า รวมถึงสถานการณ์ไทย – กัมพูชา และการเริ่มรายงานงบของกลุ่ม Real Sector ต่าง ๆ ซึ่ง BB.Consensus คาดกำไร Q2/68 บจ. 110 แห่ง -2% QoQ, ทรงตัว YoY แนะนำทยอยซื้อเมื่อดัชนีอ่อนตัว เช่น SAWAD,TIDLOR,GULF,EGCO ได้ประโยชน์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง/ เก็งกำไร DOHOME,GLOBAL จากราคาเหล็กในประเทศจีนที่เริ่มปรับสูงขึ้น
TOP (ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย 34.00 บาท) ประเมินกำไรสุทธิ 2Q68 ที่ 5.2 พันล้านบาท +50%QoQ, -6%YoY ดีกว่ากลุ่มพลังงานต้นน้ำ โรงกลั่น-ปิโตรเคมีตัวอื่นๆ (กำไรลดลง-ขาดทุน) เนื่องจากมีบันทึกกำไรพิเศษก้อนใหญ่ที่เป็น negative goodwill ราว 5.5-6 พันล้านบาท และกำไรจากธุรกรรม Bond buy back 1.5 พันล้านบาท ขณะที่กำไรปกติโตจากค่าการกลั่นที่ปรับตัวดีขึ้น ส่วน Outlook ใน 3Q68 ผลการดำเนินหลักอาจจะอ่อนลงบ้านเนื่องจากการปิดซ่อมโรงกลั่น โรงอะโรมาติกส์ แต่แนวโน้มค่าการกลั่นน่าจะยืนได้ดีเนื่องจาก spread ของน้ำมันอากาศยานและดีเซลที่อยู่ในระดับสูง (อาจจะสวนทางกับค่าการกลั่น Singapore ที่ต่ำลงเพราะมีสัดส่วนของ Mogas และน้ำมันเตาสูง) โดยเราประเมินกำไรในปี 68 ที่ระดับ 1.1 หมื่นล้านบาท +13% แต่หากรวมกำไรพิเศษเข้าไปแล้วจะอยู่ที่ราว 1.5 หมื่นล้านบาท โตสูง +50%YoY โดย valuation ปัจจุบันยังไม่แพงเทรดที่ PBV=0.44x เทียบกับค่าเฉลี่ยของ peer 0.7-0.8x หาก related ขึ้นไปแถว -1.5SD (PBV=0.55x FV จะอยู่ที่ 41 บาท)
ADVANC* (ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย 315.0 บาท) คาดการดำเนินงานใน 2Q68 ยังดีได้ต่อจากมาร์จิ้นตามการแข่งขันและ Finance Cost ที่ลดลง ทั้งนี หุ้นกลุ่มสื่อสารยังมีปัจจัยบวกจากเทรนด์ธุรกิจในอนาคต, Data Consumption ที่สูงขึ้น รวมถึงการ Migrate เทคโนโลยี เช่น Package 5G ที่จะส่งผลบวกต่อไปยัง ARPU โดย ส่วนของ ADVANC เอง ฐานผู้ใช้บริการ 5G ณ สิ้น 1Q68 คิดเป็น 28% ของฐานผู้ใช้บริการทั้งหมด ยังมีช่องในการเติบโตของรายได้ นอกจากนี้ การแข่งขันที่ลดลงของผู้ให้บริการในไทยก็จะช่วยในเรื่องค่าใช้จ่ายการประมูลคลื่น โดย การประมูลคลื่นความถี่ย่านกลางในช่วงปลายเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ADVANC ได้ต้นทุนที่ถูกลงกว่าเดิม