ก้าวสำคัญพลิกโฉมการให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยในประเทศไทยและภูมิภาค
และท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงนี้ ประเทศไทยกลายเป็นที่พักพิงสำหรับผู้ลี้ภัย ซึ่งได้มอบความปลอดภัยและความหวังให้กับผู้พลัดถิ่น
เพื่อรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินด้านมนุษยธรรม เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2518 รัฐบาลไทยได้จัดตั้งสำนักงานศูนย์ดำเนินการเกี่ยวกับผู้อพยพ ขึ้นภายใต้การดูแลของกระทรวงมหาดไทย ช่วงเวลาสำคัญนี้ ถือเป็นจุดเปลี่ยนของประเทศไทย ในฐานะผู้มอบที่พักพิงให้กับผู้พลัดถิ่นจากความขัดแย้งในภูมิภาค
ในช่วงเวลาดังกล่าวรัฐบาลไทยผ่านสำนักงานศูนย์ดำเนินการเกี่ยวกับผู้อพยพ ได้มีความพยายามประสานงานเพื่อดำเนินการจัดการผู้พลัดถิ่นที่หนีภัยเข้ามา รวมถึงจัดหาปัจจัยขั้นพื้นฐานที่สำคัญ เช่น อาหาร ที่อยู่อาศัย การดูแลทางการแพทย์ ตลอดจนมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือผู้พลัดถิ่นซึ่งปัจจุบัน ภารกิจเหล่านี้ยังคงมีความสำคัญ
ความขัดแย้งในเมียนมายังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง และในปี 2025 นี้ ความสนใจต่อสถานการณ์ดังกล่าวมีความจำเป็นมากกว่าช่วงเวลาใดในรอบหลายปีที่ผ่านมา โดยความขัดแย้งดังกล่าวได้บีบบังคับให้ผู้ลี้ภัยหลายแสนคนต้องแสวงหาความปลอดภัยในประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงประเทศไทย
ในอดีต การตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่ 3 ถือเป็นทางออกที่มีความหมายสำหรับผู้ลี้ภัยในประเทศไทย เป็นการแสดงออกถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของประชาคมระหว่างประเทศในยามวิกฤติ เป็นเวลาหลายปีที่โอกาสในการตั้งถิ่นฐานใหม่จำนวนมากได้มอบการเริ่มต้นใหม่ให้กับผู้ลี้ภัยจากวิกฤตการณ์ทั้งในอินโดจีนและเมียนมา ผู้คนจำนวนกว่าครึ่งล้านคนที่ได้พักพิงในประเทศไทย ได้ตั้งถิ่นฐานใหม่ไปยังประเทศที่ 3 ประกอบด้วยประเทศออสเตรเลีย แคนาดา ฝรั่งเศส นิวซีแลนด์ สหรัฐอเมริกา และอีกหลายประเทศ
แม้ว่าการตั้งถิ่นฐานใหม่ของผู้ลี้ภัยมักถูกอธิบายว่าเป็น “การแบ่งเบาภาระ” แต่กรอบความคิดเช่นนี้มองข้ามคุณค่ามหาศาลที่ผู้ลี้ภัยนำติดตัวมาด้วย ผู้ลี้ภัยไม่ใช่ภาระ แต่คือทรัพยากรอันมีค่า พวกเขามีทักษะและความเข้มแข็งที่ก่อร่างสร้างขึ้นจากการเผชิญความท้าทายอันยิ่งใหญ่
และเมื่อสิทธิของพวกเขาได้รับการคุ้มครอง การมีส่วนร่วมพัฒนาสังคมก็ไม่อาจประเมินค่าได้ ความสำเร็จที่ปรากฏชัด ตั้งแต่ผู้นำทางธุรกิจและการเมือง นักเขียนหนังสือขายดี ไปจนถึงนักกีฬาโอลิมปิกเหรียญทอง เป็นตัวอย่างว่าผู้ลี้ภัยที่เคยได้รับโอกาสตั้งถิ่นฐานใหม่จากประเทศไทยในอดีต ได้กลายมาเป็นพลเมืองต้นแบบและผู้มีส่วนช่วยเหลือชุมชนใหม่ของพวกเขา
แต่กาลเวลาก็เปลี่ยนไป ปัจจุบันมีอัตราผู้ลี้ภัยทั่วโลกน้อยกว่าร้อยละหนึ่งที่ได้รับโอกาสการตั้งถิ่นฐานใหม่ ซึ่งประเทศไทยเองไม่ได้เป็นเพียงผู้รับความช่วยเหลือระหว่างประเทศอีกต่อไป โดยปัจจุบันไทยถือเป็นประเทศกลุ่มรายได้ปานกลางที่มีศักยภาพเชิงโครงสร้างและมีบทบาทสำคัญในระดับภูมิภาคที่สูงขึ้น
ความก้าวหน้านี้นำมาซึ่งโอกาสใหม่ๆ มากมาย ที่หมายรวมถึงการกำหนดแนวทางการรับมือกับผู้ลี้ภัย ที่สามารถมุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนาที่มีความสอดคล้องกับผลประโยชน์ระยะยาวของประเทศได้มากขึ้น การเติบโตเหล่านี้จะนำมาซึ่งโอกาสและเป็นการเสริมสร้างความรับผิดชอบที่ก้าวข้ามการบริหารจัดการอย่างชั่วคราวที่เป็นอยู่เพื่อมุ่งไปสู่แนวทางที่ครอบคลุมและยั่งยืนมากขึ้น
ในวาระครบรอบ 50 ปี แห่งการแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับผู้ลี้ภัยในประเทศไทย นับเป็นช่วงเวลาแห่งการทบทวนถึงความท้าทายที่ยังคงอยู่ แนวทางการแก้ไขปัญหาแบบดั้งเดิม ทั้งสำหรับความขัดแย้งและผู้พลัดถิ่นจากความขัดแย้งนั้นนับวันยิ่งจางความสำคัญลงไป
เมื่อไม่มีแนวโน้มที่เป็นไปได้ในอนาคตอันใกล้สำหรับการกลับประเทศโดยสมัครใจอย่างปลอดภัย สิ่งนี้อาจหมายถึงการจำเป็นต้องปรับมุมมองจากการตั้งถิ่นฐานใหม่ ไปสู่การมุ่งเน้นในการเสริมพลังให้ผู้ลี้ภัยสามารถพึ่งพาตนเองและมีส่วนร่วมเชิงบวกต่อชุมชนที่ให้การต้อนรับพวกเขามาตลอดระยะเวลาหลายปีนี้
การสร้างเส้นทางให้ผู้ลี้ภัยสามารถมีส่วนร่วมในตลาดแรงงาน อาจช่วยรับมือกับความท้าทายด้านโครงสร้างประชากรและส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาสังคมผู้สูงอายุ
ขณะที่กลุ่มผู้ลี้ภัยรุ่นใหม่ยังคงถูกกีดกันจากการจ้างงานในระบบอย่างกว้างขวาง ในขณะเดียวกัน ภาคแรงงานสำคัญ เช่น เกษตรกรรม ก่อสร้าง และแปรรูปอาหาร ยังคงขาดแคลนแรงงาน ซึ่งเป็นสาขาที่ผู้ลี้ภัยจำนวนมากมีทักษะที่เกี่ยวข้องอยู่แล้ว การจัดตั้งกลไกเพื่อการขึ้นทะเบียนแรงงานและการรับรองทักษะอย่างเป็นระบบ จะสามารถปลดล็อกศักยภาพเหล่านี้ ช่วยเติมเต็มช่องว่างสำคัญ พร้อมทั้งส่งเสริมความสามัคคีในสังคมและการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระยะยาว
ในขณะที่การสนับสนุนยังคงดำเนินต่อไปสำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบและพลัดถิ่นจากเมียนมา ทั้งผู้ที่อยู่มานานและผู้ที่เข้ามาใหม่ แต่สิ่งสำคัญคือการตอบสนองต่อความต้องการที่แตกต่างกันไปตามแต่ละกลุ่ม สำหรับผู้ที่ต้องพลัดถิ่นเป็นเวลานานหลายทศวรรษ อาจต้องมองไปที่การพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมและการพึ่งพาตนเอง ช่วยให้พวกเขาสามารถมีส่วนร่วมเชิงบวกต่อชุมชนที่ให้ที่พักพิง สำหรับผู้ที่ขอลี้ภัยเมื่อไม่นานมานี้ อาจหมายถึงการสร้างความมั่นใจในการเข้าถึงการคุ้มครองและความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างทันท่วงทีตามมาตรฐานสากล
การคุ้มครองผู้ลี้ภัยไม่ใช่เพียงภารกิจด้านมนุษยธรรมเท่านั้น แต่ยังมีส่วนสำคัญต่อสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคและในประเทศต้นทางสิ่งนี้เห็นได้ชัดในช่วงหลังวิกฤติอินโดจีน เมื่อความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างเป็นระบบ-รวมถึงรัฐบาลไทย UNHCR และพันธมิตรจากทั่วโลก-ได้ร่วมกันให้การคุ้มครองและหาทางออกแก่ผู้พลัดถิ่นหลายแสนคน
จิตวิญญาณแห่งความร่วมมือนี้ได้รับการยอมรับในปี พ.ศ. 2524 เมื่อ UNHCR ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ซึ่งไม่ใช่เพียงเพื่อยกย่ององค์กรเดียว แต่เป็นการสะท้อนถึงการตอบสนองร่วมกันในวงกว้างที่ตั้งอยู่บนหลักศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ การแบ่งปันความรับผิดชอบ และเสถียรภาพความมั่นคงในภูมิภาค
กว่าครึ่งศตวรรษแห่งการต้อนรับผู้ลี้ภัยได้แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่ประเทศไทยและประชาคมระหว่างประเทศสามารถบรรลุได้ เมื่อความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเป็นแนวทางในการดำเนินการร่วมกัน ขณะนี้คือช่วงเวลาสำคัญในการต่อยอดจากรากฐานนั้น-เพื่อวางรากฐานสำหรับอีก 50 ปีข้างหน้า
ด้วยการยุติภาวะพลัดถิ่นที่ยืดเยื้อ และสร้างอนาคตที่ผู้ลี้ภัยไม่ได้ถูกนิยามด้วยวิกฤต แต่ด้วยคุณูปการที่พวกเขามอบให้ ขอให้เราร่วมกันสร้างจิตวิญญาณด้านมนุษยธรรมรูปแบบใหม่-ที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วม ความมีศักดิ์ศรี และความมั่นคงสำหรับทุกคน