"ทนายวิญญัติ" ยัน "ทักษิณ" ป่วยจริง ศาลไต่สวนคดีชั้น 14 นัดสุดท้าย
‘วิษณุ’ เบิกความปากเดียว สู้คดี "ทักษิณ" ป่วยทิพย์ ขณะที่ ‘ทนายวิญญัติ’ ยันป่วยจริง ‘หมอตุลย์’ สวนเดือด จี้ศาลสอบลัดฎีกา
วันที่ 30 ก.ค. 68 ที่ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีการนัดไต่สวนคดีหมายเลขดำที่ บค 1/2567 ซึ่งอัยการสูงสุดร่วมกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยื่นฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีไม่เข้าไปรับโทษจำคุก และมีการเข้ารักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ
ในการไต่สวนครั้งนี้ ฝ่ายจำเลยเตรียมนำ นายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี ขึ้นเบิกความเพียงปากเดียว เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับขั้นตอนการขอพระราชทานอภัยโทษและกระบวนการย้ายตัวผู้ต้องขังจากเรือนจำไปยังโรงพยาบาล
ขณะเดียวกัน นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความทักษิณ ยืนยันว่า อาการป่วยของนายทักษิณเป็นเรื่องจริง และไม่มีใครปรารถนาให้เกิดขึ้น “ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงโรงพยาบาลตำรวจ ได้ปฏิบัติตามสิทธิของผู้ต้องขังตามหลักสากลในการเข้าถึงการรักษาพยาบาลอย่างเท่าเทียม"
ทนายวิญญัติ กล่าวอีกว่า การที่ฝ่ายจำเลยเสนอให้ นายวิษณุ เครืองาม ขึ้นเบิกความ ถือเป็นโอกาสดีในการเปิดเผยข้อเท็จจริง เพื่อให้ศาลพิจารณาว่า กระบวนการถวายฎีกาและการย้ายตัวนั้นได้ดำเนินการครบถ้วนหรือไม่ พร้อมย้ำว่า ประเด็นในคดีนี้ไม่ใช่เรื่องแพ้ชนะทางคดี แต่เป็นความชัดเจนในกระบวนการยุติธรรม
ทางด้าน นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ผู้ติดตามคดีอย่างใกล้ชิด ให้สัมภาษณ์ว่า ขั้นตอนการถวายฎีกาต้องเป็นไปตามระเบียบราชทัณฑ์ โดยเริ่มจากเรือนจำผ่านกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม และไปยังเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ก่อนส่งต่อไปยังสำนักพระราชวัง
นพ.ตุลย์ ระบุว่า ในเอกสารฎีกาที่ปรากฏเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม มีข้อความว่า ‘ได้รับโทษมาแล้ว 10 วัน’ หมายความว่าการยื่นฎีกาเริ่มตั้งแต่วันที่ 12 สิงหาคม ซึ่งขณะนั้นนายทักษิณยังไม่ได้ย้ายไปรักษาตัว และยังอยู่ในเรือนจำ ถือว่าเป็นการลัดขั้นตอนตามระเบียบปกติ
นพ.ตุลย์ ยังตั้งคำถามว่า ทำไมผู้ต้องขังสูงวัยรายอื่นที่มีอาการป่วยจึงไม่ได้รับสิทธิเทียบเท่า และเหตุใดจึงต้องเจาะจงให้กับนายทักษิณเพียงคนเดียว ซึ่งอาจเข้าข่าย “การเลือกปฏิบัติ” พร้อมระบุว่า “แม้จะผ่านไป 10 วันหลังจากเข้ารับโทษ แต่กลับพบว่าถูกย้ายไปยังโรงพยาบาลตำรวจในเวลากลางดึก ถือเป็นพิรุธอย่างยิ่ง"
อีกประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างมากคือ เหตุใดนายทักษิณจึงรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจนานเกิน 10 วัน โดยไม่มีการส่งตัวกลับไปยังโรงพยาบาลราชทัณฑ์ตามปกติ ทั้งที่ข้อมูลทางการแพทย์ ระบุว่าการรักษาบางอาการไม่จำเป็นต้องอยู่โรงพยาบาลต่อเนื่องถึง 180 วัน
ทั้งนี้ ฝ่ายจำเลย ยืนยันว่า การรักษาเกิดขึ้นจากข้อวินิจฉัยของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ไม่ได้มีเจตนาใช้เป็นช่องทางเลี่ยงโทษจำคุก แต่ฝ่ายผู้ร้องยังคงตั้งข้อสงสัยว่ากระบวนการทั้งหมดเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่
อย่างไรก็ตาม บทสรุปของการไต่สวนอยู่ที่ดุลพินิจของศาล การไต่สวนครั้งนี้ถือเป็นนัดสุดท้ายก่อนที่องค์คณะตุลาการศาลฎีกาจะพิจารณาชี้ขาดว่า นายทักษิณ ชินวัตร ได้รับสิทธิตามกระบวนการอย่างถูกต้องหรือไม่ และการได้รับพระราชทานอภัยโทษ รวมถึงการรักษาตัวในโรงพยาบาลตำรวจนั้น เป็นไปตามหลักเกณฑ์และความเหมาะสมหรือไม่