โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันที่ 14 ก.ค. “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”ที่ระดับ 32.28บาทต่อดอลลาร์

ฐานเศรษฐกิจ

อัพเดต 2 วันที่แล้ว • เผยแพร่ 2 วันที่แล้ว

ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 14ก.ค. ที่ระดับ 3228บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้าที่ระดับ 32.44บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 32.37-32.50 บาทต่อดอลลาร์)

แม้เงินบาทจะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าจากการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ทว่า เงินบาทกลับสามารถทยอยแข็งค่าขึ้น ตามอานิสงส์การปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ (XAUUSD) ที่ล่าสุด สามารถปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3,370 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็อาศัยจังหวะที่เงินบาทอ่อนค่าลงแถวโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ในการปรับสถานะถือครอง ทยอยขายเงินดอลลาร์ออกมาบ้าง (Sell on Rally)

สัปดาห์ที่ผ่านมา ความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ได้ส่งผลให้บรรยากาศในตลาดการเงินอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว ส่วนเงินดอลลาร์ก็ทยอยแข็งค่าขึ้น

สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอติดตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ อย่าง อัตราเงินเฟ้อ CPI และยอดค้าปลีก พร้อมรอลุ้น รายงานผลประกอบการบรรดาบริษัทจดทะเบียน

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ในเดือนมิถุนายน ซึ่งจะช่วยสะท้อนถึงผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ต่อแนวโน้มเงินเฟ้อ พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่าน รายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนมิถุนายน

และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) ในเดือนกรกฎาคม และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ก่อนจะเข้าสู่ช่วงงดให้สัมภาษณ์ (Blackout period) พร้อมรอติดตาม รายงานสรุปสภาวะเศรษฐกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book) เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด

ขณะเดียวกัน ตลอดทั้งสัปดาห์ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน อาทิ กลุ่มการเงิน อย่าง JP Morgan, Bank of America และ Goldman Sachs รวมถึงกลุ่มเทคโนโลยี อย่าง ASML, TSMC และ Netflix เป็นต้น

ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ BOE รวมถึง รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ

อย่าง อัตราเงินเฟ้อ CPI ในเดือนมิถุนายน และรายงานข้อมูลตลาดแรงงานอังกฤษ อย่าง อัตราการเติบโตของค่าจ้าง (Wage Growth) เดือนพฤษภาคม ยอดการจ้างงาน และยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน ในเดือนมิถุนายน เป็นต้น

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนีและยูโรโซน (ZEW Survey) ในเดือนกรกฎาคม พร้อมทั้งรอติดตามแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพยุโรป (EU) เพื่อประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น หากสหรัฐฯ ปรับเปลี่ยนอัตราภาษีนำเข้าที่จะเรียกเก็บกับสินค้าจากบรรดาประเทศในสหภาพยุโรป

ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือน ประจำเดือนมิถุนายน อย่าง ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) รวมถึง ยอดการค้าระหว่างประเทศ (Exports & Imports)

พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจจีนในไตรมาสที่ 2 ส่วนทางฝั่งญี่ปุ่น ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนมิถุนายน เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ)

โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า BOJ มีโอกาสราว 60% ที่จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอีก 25bps ในปีนี้ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามผลการประชุมธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์มองว่า BI อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 5.50% เพื่อรอประเมินสถานการณ์โดยเฉพาะนโยบายการค้าของสหรัฐฯ

ฝั่งไทย – ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานยอดการค้าระหว่างประเทศ (Exports & Imports) เดือนมิถุนายน ที่อาจยังสามารถขยายตัวในเกิน +15%y/y จากอานิสงส์การเร่งนำเข้าสินค้าจากไทย ก่อนเผชิญมาตรการภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ และความต้องการสินค้าเทคโนโลยีของไทย ตามแนวโน้มการเติบโตของ Data Center อย่างไรก็ดี ผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ จะกดดันให้ ยอดการส่งออกของไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลงชัดเจนในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

สำหรับ แนวโน้มเงินบาท เรามองว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทได้ชะลอลง โดยเงินบาทยังพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่า ตามการทยอยปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ แม้ว่าโดยรวมเงินดอลลาร์จะทยอยแข็งค่าขึ้นก็ตาม

นอกจากนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทใกล้โซนแนวต้านในช่วงที่ผ่านมาได้เปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยปรับสถานะถือครอง ทำให้การอ่อนค่าของเงินบาทนั้นเป็นไปอย่างจำกัด ซึ่งเราคงมุมมองเดิมว่า ความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ

กอปรกับความเสี่ยงการเมืองในประเทศไทย อาจกดดันให้เงินบาทยังมีความเสี่ยงอ่อนค่าลงบ้าง แต่เงินบาทจะอ่อนค่าได้มากน้อยเพียงใด จะขึ้นกับการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ โดยหากราคาทองคำยังคงปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง

ก็อาจเป็นเรื่องยากที่จะเห็นเงินบาทสามารถอ่อนค่าลงต่อเนื่องได้ จากการประเมินในเชิงเทคนิคัล การพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้างของเงินบาท (USDTHB) ในช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา ทำให้เงินบาทมีโซนแนวต้านแรกแถว 32.50 บาทต่อดอลลาร์ (โซนแนวต้านถัดไป 32.70-32.80 บาทต่อดอลลาร์) ส่วนโซนแนวรับจะอยู่แถว 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับถัดไป 32.10 บาทต่อดอลลาร์)

อนึ่ง เมื่อประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะกลับมาอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง หากสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.70-32.80 บาทต่อดอลลาร์ ได้ชัดเจน (หรืออ่อนค่าทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน)

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจยังพอได้แรงหนุน หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาด ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ก็อาจยังคงเป็นปัจจัยหนุนเงินดอลลาร์ในช่วงระยะสั้นต่อไป

เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.10-32.80 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.25-32.50 บาท/ดอลลาร์

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.43-32.45 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.42 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ก่อนหน้าที่ 32.51 บาทต่อดอลลาร์ฯ

ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นตามราคาทองคำในตลาดโลกที่ยังคงปรับตัวขึ้นท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับนโยบายภาษีการค้าของปธน. โดนัลด์ ทรัมป์

อย่างไรก็ดี คงต้องระมัดระวังความผันผวนที่อาจจะกลับไปอ่อนค่าในระหว่างวัน เนื่องจาก Sentiment ของสกุลเงินส่วนใหญ่ในภูมิภาคขยับอ่อนค่าลง เนื่องจากสัญญาณความตึงเครียดทางการค้ากลับมาเพิ่มสูงขึ้น หลังปธน. ทรัมป์ ประกาศเก็บภาษีนำเข้าจากแคนาดา สหภาพยุโรป และประเทศคู่ค้ารายอื่น ๆ รวมถึงอาจจะปรับเพิ่มอัตราภาษีพื้นฐานขึ้นจาก 10% ในปัจจุบันด้วย

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.25-32.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ประเด็นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ กับหลายๆ ประเทศคู่ค้า ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก และตัวเลขการส่งออกเดือนมิ.ย. ของจีน

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ฐานเศรษฐกิจ

HOKA บุกเจริญกรุง! เนรมิตตึกเก่าร้อยปีเป็น Culture Hub

29 นาทีที่แล้ว

กานาเตือนผลผลิตโกโก้ลด ฝนถล่ม-โรคพืชระบาด เสี่ยงฉุดตลาดโลก

37 นาทีที่แล้ว

จ่ายตรง-พ่วงปุ๋ย ไร่ละ 1,000 คึก ผู้ค้าปุ๋ย-เคมีเกษตรแห่ชิงเค้ก 1.8 หมื่นล้าน

42 นาทีที่แล้ว

ชลประทานเชียงใหม่ ออกประกาศเตือนเฝ้าระวังระดับน้ำแม่น้ำปิง

4 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความธุรกิจ-เศรษฐกิจอื่นๆ

HOKA บุกเจริญกรุง! เนรมิตตึกเก่าร้อยปีเป็น Culture Hub

ฐานเศรษฐกิจ

‘คราฟต์ช็อกโกแลตไทย’ พลิกโฉมอุตสาหกรรมที่คนทั่วโลกต้องเหลียวมอง

SMART SME

วัฒนธรรมในภูมิภาคไม่ใช่ของใครคนเดียว นักวิชาการ มธ. แนะ ‘ไทย’ ยื่นหลักฐาน แสดงบทบาทร่วมขึ้นทะเบียนกับ ‘ยูเนสโก’

SMART SME

“สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์”ส่งไม้ต่อ “สรวิช สนธิจิรวงศ์”นักธุรกิจรุ่นใหม่ ปั้น SAMAS อาหาร Chef's Table สุดหรู

Manager Online

Broker ranking 16 Jul 2025

Manager Online

ปูนซีเมนต์นครหลวง คว้ารางวัล “บริษัทยอดเยี่ยมแห่งปี” จาก Money & Banking Awards 2025

Manager Online

เคทีซีคว้าบริษัทยอดเยี่ยมแห่งปี 2568 หมวดธุรกิจเงินทุน-หลักทรัพย์จากMoney & Banking Award 2025

Manager Online

กทม. ไม่ขัดข้อง 'รถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย' มั่นใจประชาชนได้ประโยชน์สูง แต่กังวลค่าส่วนต่างที่ต้องแบกรับ

VoiceTV

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...